Seven Brides for Seven Brothers (1954)

รีวิวหนังตลกมิวสิคัลที่ครองใจหลายๆคน ตัวหนังมีความพิเศษตรงที่เป็นมิวสิคัลมูฟวี่ในรูปแบบที่แปลกใหม่ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดของหนัง, การเต้น, หรือตัวละครเกือบทุกตัวรับบทบาทโดยนักเต้นมืออาชีพ เรื่องนี้มีพระนางถึง 7 คู่ แสดงนำโดยดารานักร้องมืออาชีพอย่าง Jane Powell และ Howard Keel

Seven Brides for Seven Brothers (1954) จัดอยู่ในฉากหลังออริกอนราวๆปี 1850 โดยเป็นเรื่องราวของครอบครัวชายเจ็ดพี่น้องที่อาศัยอยู่อีกฟากภูเขาห่างไกลจากตัวเมือง ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยเพราะถูกมองว่าเป็นพวกบ้านนอก Adam (Howard Keel) พี่ชายคนโตเดินทางเข้าเมืองเพื่อหาว่าที่ภรรยาในอนาคต เขาได้เจอและตกลงแต่งงานกับ Milly สาวชาวบ้านผู้มีความฝันว่าอยากจะมีครอบครัวพ่อแม่ลูกที่อบอุ่น แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าคือน้องชายอีกหกคนของ Adam พวกเขาป่าเถื่อน, สกปรก, และไร้มารยาทต้องได้รับการขัดเกลาจากเธอ ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้นถ้าเหล่าน้องชายไม่ไปตกหลุมรักสาวๆที่มีเจ้าของแล้วและลักพาตัวพวกเธอข้ามภูเขามา

____________________________________

ตามปกติทั่วไปของหนังมิวสิคัลคือสร้างมาจากละครเวที แต่ในกรณีนี้สลับกัน Seven Brides for Seven Brothers (1954) ถูกสร้างเป็นหนังก่อนและค่อยมีละครเวทีตามมาทีหลัง อีกทั้งหนังเกือบเคยถูกตั้งชื่อว่า “Sobbing Women” หรือแม่นางสายสะอื้น สืบเนื่อมาจากเนื้อเรื่องของหนังได้รับแรงบรรดาลใจมากจากหนังสือ “The Sobbin’ Women”, ของ Stephen Vincent Benét เกี่ยวกับหนุ่มๆโรมันในยุคโบราณที่อยากหาเมียโดยการไปลักพาตัวหล่อนๆ แต่ทางค่ายคิดว่าถ้าใช้ชื่อดังกล่าวจะทำให้คนไม่เข้าไปดูแน่ๆเลย

จุดประสงค์ของค่ายหนังต้องการทำเป็นหนังเพลง และทางค่ายหนังได้ Johnny Mercer นักแต่งเพลงคนเก่งมาเขียนเนื้อร้องให้ จุดเด่นของเขาคือการร้องเป็นแนวสไตล์การพูดแทนที่จะเป็นการร้องแบบธรรมชาติ ก็ลองนึกดูสิว่าให้เจ็ดพี่น้องแสนป่าเถื่อนมาร้องเพลงเป็นคำร้องที่สวยหรูมันก็คงจะตลกดี เพลงของเรื่องนี้ส่วนนึงจะอาศัยการร้องกึ่งพูดทำให้ฟังแล้วเนียนหูแทน ทางด้านการเต้น Stanley Donen ผู้กำกับ, ขอร้องให้ Michael Kidd นักออกแบบท่าเต้นมาช่วยร่วมออกแบบการร้องและเต้นให้ เมื่อแรกเริ่ม Kidd ไม่ค่อยจะสนใจโปรเจคนี้เลย เขาไม่เห็นด้วยกับไอเดียที่ว่าจะให้พี่น้องสายโหดจะมากระโดดโลดเต้นในละครเพลง คนพวกนี้จะเต้นยังไง? เหยาะแหยะหรอ? มันไม่ได้จริงๆ คิดภาพไม่ออก แต่พอเขาโดนพูดหวาดล้อมว่าจะให้ทำอะไรก็ได้ ให้พื้นที่คุณเต็มที่เลย ทำแค่ส่วนร้องก็พอ ไม่เอาเต้นก็ได้ แถมยังได้ Mercer มาร่วมงานด้วยอีกนะ Kidd เลยใจอ่อนแต่พอวันมาประชุมเริ่มทำหนังเท่านั้น Donen กลับคำทันทีบอกว่ายืนยันที่จะทำตามแผนเดิม ซึ่งทำให้ Kidd โกรธมาก และก็ต้องจำใจทำตาม

Kidd รื้อไอเดียเก่าออก เขาแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการเต้นที่ออกแนวแข็งแรง, กระฉับกระเฉง ผสานเข้ากับการเต้นแบบ Tempo (แขนงของบัลเล่ต์) ก่อให้เกิดจังหวะคึกคักสนุกสนาน เข้ากับหนังและตัวละคร นอกจากนี้จุดเด่นของ Kidd คือการเล่นกับพื้นที่ในเวลาเต้น ซึ่งเขาก็ได้ดึงศักยภาพนี้มาใช้ได้อย่างฉลาดอาศัยจากสิ่งที่อยู่ในฉาก

เนื่องจาการเต้นในเรื่องมีความโลดโผน หวาดเสียว ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและทักษะ เฉพาะตัว การเลือกนักแสดงมีส่วนสำคัญมากสำหรับเรื่องนี้ นักแสดงส่วนใหญ่เกือบทั้งเรื่องไม่ใช่นักแสดงโดยพื้นฐานแต่มาจากหลากหลายพื้นเพอาชีพ เช่นนักบัลเล่ต์ แจ๊สแด๊นเซอร์ นักกายกรรม ซึ่งนักแสดงคนแรกที่ถูกสนใจก่อนเพื่อนเลยคือ Russ Tamblyn ผู้รับบทกีเดียน ผู้ซึ่งกำลังว่างงานอยู่พอดี และคนต่อๆมาล้วนเป็นนักเต้นเท้าไฟทั้งสิ้น ยกเว้นแต่ Jeff Richards ผู้รับบทเบนจามิน เป็นนักแสดงอดีตนักกีฬาเบสบอลที่ว่างงานอยู่เช่นกันและพอมีพื้นฐานในการเต้นที่เหลืออยู่ในค่ายพอดี

Russ Tamblyn (Gideon) โชว์ทักษะกายกรรม (Acrobatic)

ไฮไลท์เด็ดของหนังคือฉาก Barn Raising ฉากนี้ยาวประมาณสามนาทีได้ (ใช้เวลาถ่ายแค่ 3 วัน) ซึ่งไม่ได้อยู่ที่การเต้นอย่างเดียว แต่ยังสามารถเล่าเรื่องไปในตัวได้ด้วย มีการเชื่อมและดึงจังหวะฉากต่อฉากด้วยการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทำให้หนังไม่เบื่อเลยค่ะ Stephanie Zacharek นักวิจารณ์หนังได้กล่าวไว้ว่า เป็นฉากที่เรียกได้ว่าขึ้นแท่นประวัติศาสตร์บนจอเงิน ในการเต้นที่สุดแสนเร้าใจ รวมทั้งเป็นหนึ่งในฉากเต้นที่ Kidd ได้โชว์ไม้เด็ดของเขาในการให้นักเต้นทั้งหลายได้เล่นกับพื้นที่ที่ปรากฏอยู่ ในฉาก เช่น ฉากกระโดดอยู่บนกระดานไม้ จริงๆ ตอนแรกไม่ได้อยู่ในแผนของเขาเลย แต่พอเห็นไอ้เจ้าตัวนี้อยู่ในฉาก เขาเลยอยากให้นักแสดงใช้ประโยชน์จากมัน

ฉากที่ถ่ายยากและเป็นหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของหนังคือ ฉากเพลง Lonesome Polecat ที่พี่น้องหกคนโหยหาผู้หญิงอันเป็นที่รัก เป็นการถ่ายแบบ Long Take ค่ะ ถ้าผิดนี่เต้นใหม่อย่างเดียว นักแสดงออกมาพูดเลยว่าเหนื่อยและเสียวมาก ตรงที่ Ephraim และ Daniel ต้องเดินถือซุงไปตอนแรกแล้วต้องวิ่งมาเข้าใหม่อีกรอบ แต่ก็ใช้เวลาถ่ายทำจริงไม่นานเลยค่ะ เพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพในการเต้นอยู่แล้ว อีกทั้ง Kidd ก็ได้ใช้ศักยภาพในการใช้พื้นที่และใช้ของสิ่งรอบตัวในการประกอบการเต้น

ใจหลักของเรื่องคือ ความเป็นครอบครัวการปรับตัวเข้าหากัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน คิดถึงใจเขาใจเรา อย่างในเรื่องบรรดาพี่น้องหกคนเขามี Adam เป็นต้นแบบ ซึ่ง Adam เป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ มีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการมีครอบครัว สะท้อนมาจากการที่เขาต้องเติบโตกับน้องๆตามลำพัง ไม่มีสังคม น้องชายหกเหมือนเขาทุกอย่าง แต่พอทั้งหกคนใช้เวลาร่วมกับ Milly พี่สะใภ้ที่รู้จักแต่การให้การแบ่งปัน ทำให้ตัวละครหกพี่น้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ส่วน Adam ในทางตรงกันข้าม เขาเรียนรู้ความรักช้ากว่าน้องๆ Adam มีทิฐิตรงที่เขาเป็นถึงหัวหน้าครอบครัว คุมบังเหียน แล้วทำไมต้องยอมฟังเมียที่เป็นช้างเท้าหลังด้วยล่ะ? พี่ใหญ่พึ่งมาคิดได้ตอนที่น้องชายคนเล็กส่งข่าวมาบอกว่าพี่สะใภ้คลอดลูกแล้ว-เป็นหญิง ทำให้ Adam เริ่มมีสติและคิดได้ว่าการไปลักพาตัวลูกสาวชาวบ้านมามันผิดมหันต์ เขากำลังพรากลูกออกจากพ่อ เขาคงทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาทำแบบนี้ รวมทั้งเขาเข้าใจคำว่ารักอย่างแท้จริงแล้ว

จุดเด่นของหนังที่เรารู้สึกชอบคือการใช้ฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเล่าสอดคล้องกับเนื้อเรื่องได้อย่างกลมกล่อม ทำให้คนดูรู้สึกอินไปด้วย อย่างฉากเข้าหน้าหนาวคือฉากที่ปล่าวเปลี่ยว พี่น้องเริ่มเหงาหงอยคิดถึงสาวอันเป็นที่รักอยากกอดไว้แนบกาย แต่พวกหล่อนไม่เล่นด้วย ไม่พอใจที่ถูกฉุดมา ทำท่าทีหมางเมินหนุ่มๆ ทั้งๆที่ในใจคืออีกแบบ พอทิ้งช่วงพายุหิมะแล้วเริ่มสงบ สาวๆแกล้งหนุ่มๆคืน เริ่มมีการพัฒนาความสัมพันธ์ ฤดูร้อน ความอบอุ่นกลับมา ตอนนี้หกคู่เปิดตัวกันพร้อมหน้า และพร้อมเดินหน้าใช้ชีวิตคู่ ตามเพลง Spring Spring Spring ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ผลิตงอกงามตามกาลเวลา

นอกจากนี้หนังยังโดดเด่นเรื่องการวางคาแร็ตเตอร์และคอสตูมเครื่องกายได้อย่างฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการให้พี่น้องเจ็ดคนหัวแดงทุกคนต่างจากคนในเมือง เพื่อบอกว่าไอ้พวกนี้มันบ้านนอก! และชุดของพวกเขามีความสีสันสดใสทำให้คนดูจำได้ง่าย รู้สึกเฟรนด์ลี่คุ้นเคย ต่างจากตัวละครของเจ็ดคู่หมั้นที่ใส่แต่สูทเข้มดำกันหมด ทำให้รู้สึกไม่ชอบและไม่เป็นมิตรด้วย

compare-brothers-to-town-boys

หนังเรื่องนี้ถ่ายทำใช้เวลาประมาณ 48 วัน ถ่ายสองรอบ แบบธรรมดาและจอกว้าง เนื่องจากทางสตูอยากลองเทคโนโลยีใหม่คือการถ่ายทำแบบจอกว้างหรือ Cinemascope เพื่อให้เห็นพื้นที่ในการเต้นได้ง่ายและสวยงาม แต่น่าเสียดายที่พอเข้าโรงได้ฉากแค่เพียงแบบจอธรรมดาเท่านั้น เนื่องจากโรงหนังสมัยก่อนไม่มีสามารถเอื้ออำนวยการให้ได้ และเวลาในการถ่ายของสองแบบนี้จะต่างกันตรงที่จอกว้างสามารถวางนิ่งๆ ถ่ายเก็บได้หมด แต่ถ้าเป็นจอแคบอาศัยการเลื่อนกล้องไปมา

.

51XOqtw49EL

Seven Brides for Seven Brothers เป็นหนังเพลงที่มีเนื้อเรื่องที่สนุก ลีลาการเต้นเร้าใจ และเพลงเพราะทุกเพลง คิดว่าคนดูสาวๆน่าจะชอบเรื่องนี้นะคะ เพราะว่าเจ็ดพี่น้องหล่อและน่ารักกันหมด โดยเฉพาะ Frank นี่คิดว่าสาวๆน่าจะชอบเยอะที่สุด หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายความ Snow White เบาๆ คนสวยตัวคนเดียวต้องมาอาศัยอยู่กับคนเถื่อนอีกเจ็ดคนและยังต้องทำงานบ้านแทนอีกต่างหาก หนังเรื่องนี้เคยมีแผ่น DVD ออกมาขาย โดยในดีวีดีจะมีสองแผ่นนะคะ แผ่นแรกจะเป็นตัวหนังฉบับจอกว้าง แผ่นสองคือแบบดั้งเดิม+สัมภาษณ์ของนักแสดงและเหล่าทีมงานเบื้องหลัง

________________________

ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
Classic Reviewer
.
.
.


นักแสดง

นักแสดง

1 ความเห็น

ใส่ความเห็น