The Great Race (1965)

Tony Curtis และ Jack Lemmon กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหลังจาก Some Like It Hot (1959) ในหนังตลกที่เพี้ยนหนักยิ่งกว่าเดิมในชื่อเรื่อง The Great Race ซึ่งเกี่ยวกับการแข่งขันเดินทางไกลด้วยรถยนตร์จาก New York ไป Paris ซึ่งตัวของ Blake Edwards ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจจากการแข่งรถข้าม 3 ทวีปครั้งแรกของโลกภายใต้ชื่อ The 1908 New York to Paris Race

The Great Race (1965) เป็นเรื่องราวของการแข่งรถยนตร์ทางไกลจาก New York ไป Paris รวมถึงการแข่งความเป็นมนุษย์ว่าใครเจ๋งกว่ากันระหว่าง The Great Leslie (Tony Curtis) มหาเศรษฐีหนุ่มสุดหล่อเจ้าเสน่ห์ กับ Professor Fate (Jack Lemmon) บุรุษขั้วตรงข้ามที่เป็นอริกับ Leslie พ่วงด้วย Max (Peter Falk) ลูกน้องสุดกวนโอ๊ยของเขา ในการแข่งขันทั้ง Fate และ Max รวมหัวกันแกล้ง Leslie ทำให้เขาต้องตกกะไดพลอยโจนรับ Maggie DuBois (Natalie Wood) นักข่าวสาวผู้อยากโชว์ว่าเธอเก่งไม่แพ้ชายใด Leslie ต้องรับมือทั้งนักวิทยาศาสตร์เจ้าเล่ห์และสาวจอมอวดดี สุดท้ายแล้วใครกันที่จะเป็นผู้ชนะ

____________________________________

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ Tony Curtis และ Jack Lemmon ซึ่งทั้งสองเคยฝากผลงานตลกสุดคลาสสิค Some Like It Hot (1959) ในหนังดังกล่าวพวกเขาแสดงเป็นนักดนตรีคู่หูที่ต้องแต่งหญิงหนีการตามล่าของมาเฟีย แต่ The Great Race เรื่องนี้พวกเขายืนกันคนละฝั่ง ซึ่งทั้งสองแสดงเข้าขากันเหมือนเคย โดยรวมเป็นภาพยนตร์ที่สามารถสร้างรอยยิ้มเสียงหัวเราะ มุขตลกที่ใช้เป็นสไตล์ตึ่งโป๊ะประกอบกับเสียง sound effect แนวการ์ตูนเข้ากันได้อย่างดี ทำให้รู้สึกเบาสมอง แถมยังวางจังหวะได้พอเหมาะพอเจาะ ข้อเสียนิดหน่อยของหนังคือค่อนข้างอืดโดยเฉพาะช่วงแรกๆ แต่ความสนุกค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างที่ล้อรถเริ่มหมุน ซึ่งในแต่ละสถานที่ที่พวกเขาไปเยือนนั้นหลายบรรยากาศ

จุดเด่นของหนังมีหลายส่วน อย่างแรกคือคาแรคเตอร์ของตัวละครมีความเป็นการ์ตูนสูงมาก เพี้ยน เล่นใหญ่ ซึ่งแต่ตัวจะมีความสุดโต่งในแบบฉบับของตัวเอง อย่างเช่น Leslie มาในชุดขาวทั้งตัวบอกคนดูแบบไม่ปิดบังเลยว่า ผมเป็นคนดีนะครับ คาแรคเตอร์จะเป็นแบบชายหนุ่มเพอร์เฟค หล่อทั้งกายและใจ ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ส่วน Professor Fate ตัวร้ายมาในชุดสูตรดำทั้งตัว บอกคนดูแบบชัดเจนว่าข้าอยู่ตรงข้ามไอ้หมอนั่นนะ!คาแรคเตอร์เป็นแนวคนเจ้าเล่ห์ บ้าบอๆ ซึ่ง Jack Lemmon ผู้รับบทนี้ถ่ายทอดออกมาได้ดี นอกจากนี้เขายังเก็บเซอร์ไพรส์ให้คนดูภายในเรื่องอีกต่างหาก

ไฮไลท์เด็ดของเรื่องคือ ฉากขว้างพายที่อลังการงานสร้าง ฉายบนจอราวๆ 4 นาทีครึ่ง แต่กินเวลาไปกว่า 5 วัน ใช้พายไปจำนวนราวๆ 4 พันกว่าชิ้น ขี้นสถิติใช้ปริมาณมากที่สุดในบรรดาเหล่าหนังปาพาย ฉายบนจอแค่ 4 นาทีกับอีก 20 วิ แต่กินเวลาไปกว่า 5 วัน ฉากดังกล่าวมีการสอดแทรกมุขตลกที่มีจังหวะ timing ลงล็อค เป็นจุดที่ไม่ควรพลาด

เบื้องหลังฉากปาพาย

แรกเริ่มในการถ่ายทำเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นักแสดงแฮปปี้ แต่พอต้องถ่ายซ้ำเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มเบื่อ เมื่อยล้า และเกิดเหตุอันตรายขึ้นเมื่อ Natalie Wood สำลักชิ้นพายออกมาเนื่องจากมันถูกปาเข้าปากเธอขณะที่กำลังอ้าอยู่

Jack Lemmon ก็มีช่วงมึนน็อคไประยะนึง เขาให้สัมภาษณ์สั้นๆว่า พายอัดหน้าเหมือนกับโดนฟาดด้วยปูนซีเมนต์ “a pie hitting you in the face feels like a ton of cement” 

เมื่อการถ่ายทำหยุดลงหลังจากที่ Blake Edwards สั่งคัท ตัวผู้กำกับรู้ตัวดีว่าเขาต้องเจอกับอะไร เจ้าตัวรีบป้องกันตัวเองทันทีเพราะโดนเหล่านักแสดงแกล้งปาพายเค้กกลับใส่เป็นร้อยๆชิ้น

สุดท้ายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Sweetheart Tree เพลงประกอบหนังสุดคลาสสิคที่ลืมไม่ลง โดยเพลงถูกนำมาบรรเลงเรียบเรียงใหม่โดย Henry Mancini นักประพันธ์มือทองผู้เคยฝากผลงานในหนังชื่อดังมาแล้วหลายครั้ง เช่น Breakfast at Tiffany’s (1960), Charade (1963), และ The Pink Panther (1963) นอกจากนี้ Sweetheart Tree ยังถูกขับร้องในหนังโดยตัวละครของ Natalie Wood เป็นฉากที่สวยงามน่าจดจำอย่างไรก็ตามเสียงร้องที่เราฟังกันแล้วเคลิบเคลิ้มอันที่จริงไม่ใช่เสียงขับร้องโดยเจ้าตัวแต่เป็นของ Jackie Ward ที่ร้องทับ เนื่องจากเสียงร้องในบางจุดของ Natalie ยังมีสั่นไม่แข็งพอจึงต้องอาศัย Jackie ที่เสียงใกล้เคียงกันมาช่วย (ได้ลองฟังเวอร์ชั่น Natalie ร้องแล้ว เพราะมากๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้เสียงเองจริงๆ ถ้าใครอยากฟังเวอร์ชั่น Natalie ร้อง สามารถหาฟังในยูทูปได้ค่ะ)

เกร็ดเล็กๆ

– Natalie Wood นั้นไม่อยากแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เลย เนื่องมาจากเธอกำลังอยู่ในช่วงภาวะดิ่งเหวจากอาชีพการแสดงและชีวิตส่วนตัว หลังจากหย่าร้างกับ Robert Wagner. แต่ภายหลังเธอตกลงรับเล่นเรื่องนี้ โดยค่าย Warner ยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยน หากเธอเล่นเรื่องนี้เธอจะได้แสดงในโปรเจคภาพยนตร์ดราม่า Inside Daisy Clover ซึ่งเป็นภาพยยนตร์ที่เธออยากเล่นมากๆ

– หนังได้เข้าชิงออสการ์ถึง 5 รางวัล อาทิ Best Sound Effects, Best Cinematography, Best Film Editing, Best Song, และ Best Sound แต่ชนะมาแค่รางวัลเดียวในสาขา Best Sound Effects รวมถึงยังได้เข้าชิง Golden Globe Award อีกสองรางวัลอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างชาติแห่งกรุงมอสโคว์ครั้งที่สี่ หนังได้รับรางวัลเหรียญเงิน

“Leslie Special” รถของพระเอกนั้นทางค่าย Warner Brothers สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับรถ Thomas Flyer รถที่ชนะการแข่งขัน 1908 New York to Paris ซึ่งรถดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาถึง 4  คัน และในปัจจุบัน 1 ใน 4 ถูกจัดแสดงโชว์อยู่ที่ Tupelo Automobile Museum, Mississippi ในชื่อว่า “1963 Leslie Special Convertible”

ส่วนอีก 1 คันจาก 4 ถูกทาสีเขียวแก่ แต่ตัวล้อและยางยังคงความเป็นขาวสีต้นฉบับเดิมอยู่ เพื่อใช้ถ่ายทำหนัง The Ballad of Cable Hogue (1970)

ส่วนทางด้านรถของตัวร้าย “Hannibal Twin-8” นั้น ถูกสร้างมาถึง 5 คัน หนึ่งในนั้นถูกตั้งโชว์อยู่ที่ the Petersen Automobile Museum และอีกหนึ่งที่ Volo Auto Museum, Illinois ตัวรถถูกสร้างมาในราคาหลายแสนดอลลาร์ รวมทั้งมีฟังค์ชั่นการทำงานเก๋ๆ อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น เครื่องกำเนิดควันหรือ ปืนกล

จากความสนุกของหนัง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานทางแอนนิเมชั่น โดยก่อกำเนิดการ์ตูน TV ซีรีย์เรื่อง Wacky Races (1968) โดยรวม The Great Race เป็นเรื่องราวของชายสองคนที่ขับเคี่ยวแข่งขันกันทั้งเรื่องรถและศักดิ์ศรีว่าใครกันจะยืนหนึ่ง ใครที่ชอบหนังเกี่ยวกับรถ หรือการผจญภัยสนุกๆ เรื่องนี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดีเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้สามารถหาซื้อได้ตามเน็ตและมีบรรยายไทยค่ะ

________________________

ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
Classic Reviewer


นักแสดง

ใส่ความเห็น