Marnie 1964

หนุ่มนักธุรกิจมาดดีตกหลุมรักและพยายามจะช่วยเหลือสาวหัวขโมยผู้มีอาการทางจิต

IMDB: 7.2
Rotten Tomatoes: 82%

Director: Alfred Hitchcock
Casts: Tippi Hedren, Sean Connery & more
Theme: Crime, Drama, Mystery


.

เนื้อเรื่องโดยสังเขป

Mark Rutland (Sean Connery) นักธุรกิจหนุ่มรับสาวสวยหัวขโมย Marnie Edgar (Tippi Hedren) เข้ามาทำงานในบริษัท เพราะรู้ซึ้งถึงพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของหล่อนที่ก่อนหน้านี้เคยขโมยเงินในบริษัทที่ตัวเขาทำธุรกิจด้วย ระหว่างนั้นเขาเผลอใจหลงรักเธอ แต่ Marnie ก็ตอบแทนเขาด้วยการขโมยเงินแล้วหนีไป ไม่วายเขารู้ทันตามล่าและบังคับหล่อนให้แต่งงานด้วย ยิ่งพออยู่ใกล้ชิดกันเรื่อยๆ Mark เริ่มค้นพบว่าเธออาจจะมีอาการทางจิต สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมประหลาดหลายๆอย่าง รวมถึงปมอดีตที่ปวดร้าว

 

 เกร็ดเล็กๆ

  • หนังเรื่องนี้มีคนเขียนบทมาถึง 3 คน จากคนแรก Joseph Stefano จากผลงาน Psycho, ต่อมาด้วย Evan Hunter จาก The Birds ตัวเขานั้นไม่ชอบฉากข่มขืนจากต้นฉบับในหนังสือเนื่องจากมันทำให้พระเอกดูไม่ดีแล้วคนดูจะไม่ปลื้ม แต่ Hitchcock นั้นสวนทางกับความเห็นเขาและจัดการปลด Hunter ออกจากโปรเจคและนำ Jay Presson Allen เข้ามาแทนโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นคนที่สามแล้ว
    .
  • Grace Kelly คือ ตัวเลือกแรกที่จะมารับบทนางเอกนำ แต่ขณะนั้นเธอแต่งงานและเข้าวังโมนาโกไปเรียบร้อยแล้ว Kelly จำใจต้องกล่าวปฏิเสธบทนี้ไปสืบเนื่องจากประชาชนที่นู่นไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะกลับคืนสู่จอเงินอีกครั้ง แถมยังเป็นบทที่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอีกด้วย ผนวกรวมถึงสัญญาของ Kelly ที่มีปัญหาอยู่กับ MGM ทำให้เธอไม่สามารถไปเล่นหนังกับค่ายอื่น
    .
  • ตัวเลือกในการเลือกรับบทนางเอกนั้นมีตั้งแต่ Lee Remick, Eva Marie Saint จาก North by Northwest (1959), Susan Hampshire, Tippi Hedren, Vera Miles และ Claire Griswold สุดท้ายปู่เลือก Hedren มารับบทนางเอกนำ (ก่อนหน้านี้เขาประทับใจเธอตั้งแต่เห็นผลงานโฆษณาเครื่องดื่มไดเอทเมื่อปี 1961 โดยเจ้าหล่อนก็มาแคสและได้รับบทใน The Birds) Tippi Hedren นั้นบอกว่าเธอนั้นปราบปลื้มใจมากกับการรับบทดีๆที่มาแบบโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต และถึงแม้ว่าเจ้าหล่อนเองจะมีปัญหาความสัมพันธ์กับ Hitchcock เธอก็ยังชอบหนังทั้งสองเรื่องที่ทำงานงานร่วมกับเขาอยู่ดี
    .
  • ฟากของนักแสดงนำชาย Sean Connery ที่ขณะนั้นกำลังเล่น James Bond อยู่นั้นเริ่มเป็นห่วงอาชีพนักแสดงของตัวเองที่อาจจะถูกปิดกั้น ดังนั้นเขาจึงแจ้งความประสงค์กับทางค่าย Eon Productions ต้นสังกัดว่าอยากทำหนังร่วมกับ Alfred Hitchcock  และตัว Connery เองหลังจากร่วมงานกับ Hitchcock ก็ปลาบปลื้มใจมาก ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
    .
  • Marnie เป็นภาพยนตร์ Icy Blonde เรื่องสุดท้ายของ Hitchcock
    .
  • Louise Latham ผู้รับบท Bernice นั้นจริงๆอายุมากกว่า Tippi Hedren ผู้รับบทเป็นลูกเพียงแค่ 8 ปีทั้งที่ในบทห่างกันถึงเกือบสองเท่า

.

กล่าวก่อนรายละเอียดเจาะลึก

หลายๆท่านคงทราบกันดีว่า Hitchcock นั้นปล่อยปะละเลยในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และผลที่ออกมานั้นก็เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ รวมถึงข้อมูลหนังเรื่องนี้มาก่อนแล้วไม่ว่าจะเป็นฉากที่ดูปลอม หรือเรื่องบาดหมางของตัวปู่และนักแสดงสาว ฉันคงไม่ขอยกเรื่องนี้มาพูดซ้ำอีกแล้วกัน ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่งานที่ปู่นั้นเต็มใจทำ อย่างไรก็ตามเมื่อฉันได้แคว้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เพิ่ม ฉันจึงการันตีเอาไว้ว่าภาพยรตร์เรื่องนี้นั้นยังแฝงความโหด ความเป็นชายนามว่า “Hitchcock”

.

สัญลักษณ์ฉบับ Hitchcock

หนังก็ยังสื่อถึงความเป็น Hitchcock เอาไว้เต็มไปหมดเริ่มด้วยจากความกลัวในวัยเด็ก โดยเขาถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของความฝัน, การเก็บกดอดกลั้น, และความบกพร่องพัฒนาการทางเพศ อย่างที่สองแน่นอนเลยสาวผมบลอนด์ที่มักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ดี, ความผิดและการสารภาพ, ฟ้าผ่า, บันได ซึ่งอันนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับโดยตรง แต่ Hitchcock นั้นเชื่อว่ามันเป็นสถานที่ที่คู่รักมักจะมาชอบนั่งเคลียร์ปัญหา, เรือ มองเผินๆอาจจะมองว่าเป็นสถานที่โรแมนติก แต่กระนั้นมันก็แฝงถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคู่รักแบบสิ้นเชิง, การใช้น้ำ แทนสัญลักษณ์ของการชำระล้าง การเกิดใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงผู้หญิงอย่างเดียวเท่านั้น โดยในเรื่อง Marnie นั้นไม่ตายจากการโดดน้ำ แถมพระเอกก็สัญญาว่าจะไม่แตะต้องตัวเธอ สบายใจได้

handsการใช้มือ มีทั้งมือผู้หญิงและมือผู้ชาย ต่างความหมายกันออกไป มือฝ่ายชายจะมาพร้อมกับความรุนแรงเสมอยิ่งถ้าหากจับข้อมือด้วยแล้วล่ะก็ อ่าฮะใช่แล้วค่ะ Mark จับข้อมือภรรยาสาวบังคับให้เธอขโมยเงินของเขา ส่วนมือของฝ่ายหญิงนั้นถูกนำไปใช้ในวิธีการที่อ่อนลง เช่นฉากที่เธอยิง Forio ม้าที่เธอรักต่อด้วยการพยายามขโมยเงินจากเซฟของสามีแต่ยับยั้งได้ ซึ่งเธออ่อนลงและยอมรับในตัวเขามากขึ้น

lebianรักร่วมเพศ มันถูกสื่อออกมาในเชิงสัญลักษณ์บอกนัยนะแทนว่า Marnie นั้นอาจจะเป็นเลสเบี้ยนกับ Lil ดูได้จากเหตุการณ์ที่ Marnie มอง Lil ตั้งแต่แรกพบ, Lil ถาม Mark ว่าคนสวยนี่ใคร?, Lil เป็นคนปลุกเธอออกจากฝันร้ายได้หาใช่ Mark หน้าที่ผู้เป็นสามี, และ Lil เป็นฝ่ายอาสายิงเจ้า Forio แทน Marnie ซึ่งออกจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายไปแทน แถม Marnie เองก็ยังหวงแม่จนเกินไปอีกด้วย

Windowbreakการเข้าทางหน้าต่าง มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศเสมอๆ จาก The Birds นกโจมตีทางหน้าต่าง พยายามทำร้าย Melanie ซึ่งตัวเธอก็คือ สัญลักษณ์ทางเพศ การโจมตีก็คือการถูกคุกคาม และเช่นกันใน To Catch a Thief หนังพูดถึงแมวขโมยย่องเบาแต่กลับไม่มีการบุกรุกเข้าทางหน้าต่างเพราะเป็นการปล้นเพชรหญิงแก่ ซึ่งไม่น่าสนใจเอาซะเลย มาในเรื่องนี้นั้นในฉากออฟฟิศของพระนางขณะฝนตกพายุเข้านั้นมีต้นไม้พังลงมาทะลุหน้าต่างตกลงมาทับข้าวของสะสมจากภรรยาเก่าด้วยความรุนแรง ต้นไม้นั้นสื่อถึงความรู้สึกทางเพศ โดยการตีโจทย์ของ Hitchcock นั้นนำเอามาจากซิกมันด์ ฟรอยด์ ซึ่งตัวของนักจิตวิทยาได้อธิบายเอาไว้ว่าเวลาฝันถึงบ้าน มันสื่อถึงร่างกายของเรา ส่วนที่เหลือก็เป็นส่วนประกอบของร่างกาย หน้าต่าง ประตู รั้ว คือทางเข้าบ้าน เอาล่ะพูดแค่นี้คงเข้าใจกันแล้วใช่ไหมเนาะ ตัวปู่แกเลยเอาหน้าต่างมาสื่อถึงเรื่องเพศ โอเคเอาล่ะต่อจากย่อหน้าบนเลย ไอ้ต้นไม้เนี่ยมันพังเข้ามาอย่างรุนแรงใช่ไหมคะ มันแปลถึงการข่มขืนเอาเปรียบค่ะ ซึ่ง Mark ชายหื่นในคราบสุภาพบุรุษฉวยโอกาสจูบเธอในขณะที่เจ้าหล่อนไร้สติอยู่และของเมียเก่าพังกับเมินเฉย บวกกับการใช้ฝนและพายุของปู่อีกด้วย เขามันจะใช้มันไปทางแง่ลบ ในขณะที่ผู้กำกับท่านอื่นชอบใช้ฝนเพื่อบอกเรื่องราวโรแมนติก

markstruttการตั้งชื่อตัวละคร Marnie ถูกตั้งชื่อขึ้นมาโดยจงใจอย่างมาก เพราะเหล่าสาวผมบลอนด์ที่มีพฤติกรรมไม่ดีหรือไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของ Hitchcock มักจะชอบถูกตั้งนำหน้าว่า M อาทิ Margot, Melanie, Marion, และ Miriam และทางด้านฝ่ายชาย Mitch พระเอกจาก The Birds ก็ถูกเลียนแบบเสียงจากชื่อของ “Hitch”-cock  และจากลูกเล่นนี้ชื่อของ Rutland และ Strutt ก็ดันมาคล้องจองกันอีก แถมทั้งสองก็ดันสนใจผู้หญิงคนเดียวกันอีก

Screen Shot 2559-06-10 at 11.43.50 PM

ซีนที่เป็นที่กล่าวขวัญและอดพูดถึงไม่ได้ คือตอนที่ Hitchcock วางกล้องแบ่งเป็นคล้ายๆจอแยก ตัวละครสองตัวกำลังทำกิจกกรรมเดียวกันอยู่นั่นคือทำความสะอาด นางเอกสาวกวาดเงินในตู้เซฟ อีกฟากแม่บ้านก็กำลังถูพื้น ฉากนี้เร่งปฏิกิริยาให้คนดูลุ้นระทึกและกลัวว่านางเอกอาจจะถูกจับได้ กลายเป็นว่าเรากลายเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจกับฝั่งผิดไปโดยปริยาย ไม่พอแค่นั้นเรายังเอาใจช่วยไม่ให้รองเท้าที่หล่อนยัดไว้ในเสื้อโค้ทมันไหลออก กล้องถ่ายเน้นย้ำที่รองเท้าขึ้นเรื่อยๆและมันก็ตก! ช่วงนั้น Marnie ตกใจและหันไปดูแม่บ้านที่ไม่ได้ยินเสียง คนดูปล่อยโล่งดีใจแทนหล่อน ฉากนี้เป็นฉากที่ดีมากๆของการเร่งปฏิกิริยาคนดูจริงๆค่ะ การถ่ายทอดทางภาพคือเจ๋งมากๆ จนเราลืมจุดบอดของหนังไปเลยว่าแกจะมาขโมยของแล้วเปิดประตูทิ้งไว้ทำไมอ้ะ? แต่ถ้าเปิดทิ้งไว้แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนดูอย่างเราคงจะแบบเอิ่มเปิดไว้ทำไมอ้ะ ?

.

Marnie เด่นชัดในการใช้สีเพื่อเล่าเรื่อง

Hitchcock เริ่มใช้สีในการถ่ายทอดเรื่องราวมาตั้งแต่เรื่อง Rope (1948) และคนดูส่วนใหญ่เพิ่งมารู้อีกทีจาก Dial M for Murder (1954) ที่ตู้เสื้อผ้าของ Grace Kelly เริ่มจะเข้มขึ้นหลังจากเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น ยาวมาถึง Vertigo ที่เขาสรรสร้างสีต่างๆนาๆ เพื่อบรรยายเรื่อง เช่น สีเขียวเพื่อบอกถึงผีหรือวิญญาณ Marnie ก็เช่นกัน Hitchcock เน้นสองสีคือแดงและเหลือง สองสิ่งสื่อถึงการเตือนภัยทั้งคู่ สีเหลืองไว้เตือนคนดู แต่สีแดงไว้เตือนตัวละคร Marnie (เราสามารถรับรู้และเข้าใจ สีแดงในแต่ละเหตุการณ์ได้อยู่แล้วว่ามันสื่อถึงสีเลือดของกะลาสีเรือ) สีเหลืองที่ปรากฏอยู่ในเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกนำมาพูดยกเจาะจงเท่าสีแดง แต่มันปรากฏมาตลอดทั้งเรื่องโดยถูกเน้นย้ำแบบคนดูส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยรู้สึกตัว อย่างไรก็ตามถ้าสีเหลืองปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่พวกเราจงเตรียมพร้อมเอาไว้เลยว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแน่นอน อย่างเช่นสีเหลืองปรากฏขึ้นตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ Marnie หัวขโมยสาวถือกระเป๋าสีเหลืองเอาไว้แล้ว ! จงระวังยัยแมวขโมยผู้นี้ให้ดี หรือจะเป็นผมเหลืองบลอนด์ของหล่อนอีก

yellow1

สีเหลืองไม่ได้ถูกใช้แค่ตัวละครเอก Lil น้องเมียของ Mark ก็เช่นกัน แค่ฉากเปิดตัวเธอก็ใส่สีเหลืองซะแล้ว อาจจะเป็นการเตือนภัย Mark ว่าให้ระวัง Marnie เอาไว้ และอีกทีเมื่อเธอนำทาง Mark ไปสู่การเปิดเผยความจริงของ Marnie หรือจะเป็นฉากที่ Mark พา Marnie ไปที่บ้านของเขาเพื่อเจอพ่อ สังเกตดีๆว่ามีดอกไม้สีเหลืองวางไว้อยู่ ใช้เตือนภัยพ่อว่าผู้หญิงคนนี้จะนำปัญหามาให้แก่ลูกชาย

yellow2ดอกไม้บนเรือก็มีในฉาก Honeymoon ของทั้งคู่ มันปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดก่อนที่ Mark จะขืนใจ Marnie และตัวเขาเองก็ใส่ชุดสีเหลืองเหมือนกัน)

.

ทำไม Marnie ชอบม้า

ผู้อ่านที่แฟนหนังของปู่ Hitchcock นั้นคงทราบกันดีว่า เขาคือ Sigmund Freud ในโลกของภาพยนตร์ หนังหลายๆเรื่องของเขามักเกี่ยวข้องกับการตีความหมาย อย่างเช่น Spellbound (1945), Vertigo (1958) หรือ Psycho (1960) และแน่นอน Marnie ก็เป็นหนึ่งในนั้น การที่นางเอกเกลียดผู้ชายจนเข้าไส้นั้น และเลือกอยู่กับม้าแทน ทราบหรือไม่ว่าม้านั้นคือสัญลักษณ์ของเพศชาย หรือจะเป็นอวัยะของเพศชายก็ได้ค่ะ ตามที่ซิกมันด์ ฟรอยด์เคยได้ให้เหตุผลไว้ว่า การเด็กที่ชอบขี่ม้านั้นเนื่องจากได้รับการกระตุ้นทางเพศโดยการสั่นสะเทือน และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กๆ มักชอบ รถไฟ, ม้า, หรือสไลด์เดอร์ แล้วมันหยิ่งสอดคล้องกันกับตัวละคร Marnie เนื่องจากเธออยังอ่อนหัดหรือแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับเพศชายเอาซะเลย คล้ายๆกับเด็กที่ยังไมประสีประสา ม้าคือตัวแทนของเพศชายในรูปแบบมิตร ดูได้จากการที่เธอพูดคุยกับชายผู้ดูแลเจ้าม้า Forio ที่พยายามจะกัดเขาตั้งสองรอบ โดยหล่อนพูดกับมันว่าถ้าอยากกัดใคร ให้กัดฉันแทน เอิ่มคนธรรมดาหรือคนรักการขี่ม้าฟัง เชื่อว่าก็คงรู้สึกแปลกๆแล้วเนอะ

ridinghorseการที่เธอขี่ม้า ตีความได้คร่าวๆ ถึงเรื่องบนเตียง การที่เธอขโมยเงินแล้วหนีออกมาจากบริษัทเธอมักจะมาขี่ม้าต่อจากนั้นน่าจะแปลว่าเธอสำเร็จความใคร่จนถึงจุดสุดยอดแล้ว แล้วการขโมยเงินมานั่นเธอเชื่อว่าสามารถซื้อความรักได้จากแม่ แล้วใยเลยจะไม่มีความสุข ? แถมยังมีฉากที่พ่อของ Mark พูดว่า “การขี่ม้านั้นดีที่สุดต่อสุขภาพจิตใจ” นั่นคงเป็นเหตุผลรองรับว่านางเอกรู้สึกดีจริงๆหลังสำเร็จความใคร่ของตัวเอง กระนั้นพระเอกก็เป็นคนไม่ขี่ม้าล่าสัตว์ แต่เขาก็เริ่มสนใจหลังจากเจอนางเอก ?

.

ทำไม Marnie ถึงต้องขโมย

หนังเรื่องนี้พูดถึงการล่าและการโดนล่า อย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ ผ่านบทสนทนาที่บอกว่าสัตว์นักล่าคือเพศเมีย หรือจะผ่านบทกลอนที่เหล่าเด็กๆร้องมันลงท้ายด้วยคำว่า “…call for the lady with the alligator purse” alligator หรือจระเข้ยักษ์ก็คือนักล่าดีๆนี่เองแหละ และอีกครั้งระหว่างพระนางในตอนที่การที่นางเอกกระโดดน้ำฆ่าตัวตายหลังจากถูกพระเอกข่มขืน แต่กระนั้นตัว Mark มาช่วยชีวิตเอาไว้ทันและยิงคำถามใส่เจ้าหล่อนว่าทำไมไม่โดดลงทะเลไปเลยล่ะ เจ้าหล่อนตอบกลับมาว่าอยากตายเฉยๆ ไม่ได้อยากเป็นเหยื่อของเหล่าปลา ด้วยเหตุการณ์นี้สามารถบ่งบอกได้เลยว่าเธอไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกล่า ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำเอาเปรียบ ดังนั้นเธอจึงต้องเป็นนักล่าเองก่อน

feedfishด้วยความที่ว่า Bernice นั้นแสนจะเย็นชาและปล่อยปะละเลยกับผู้เป็นลูกมาตั้งแต่เล็ก อดีตโสเภณีหญิงมักจะพาผู้ชายมาที่บ้านและมักชอบปลุกลูกสาวออกจากเตียง Marnie ที่ขณะที่กำลังหลับอยู่ต้องมาโดนแย่งพื้นที่นอนและความรักความอบอุ่น จึงได้แต่เก็บกักความไม่ชอบใจมาแสนนาน (เป็นผู้ถูกกระทำ คล้ายๆกับเป็นเหยื่อ) นั่นเป็นแรงผลักดันให้ Marnie มาขโมยของเพื่อนำมันมาปรนเปรอให้แก่แม่เพื่อให้หล่อนรักเธอ การปล้นเซฟก็เหมือนกับอยากเข้าถึงแม่ (การอยากเป็นผู้ล่า) Marnie ที่เกลียดผู้ชายเข้ากระดูกดำนั้นมักจะขโมยเงินจากเหล่าผู้ชายที่สนใจในเรือน ร่างของเธอ (การกลัวตกเป็นเหยื่อ) คล้ายๆกับเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

stealforlove

.

ตัวละคร Mark

Mark นั้นจะว่าไปก็มีชื่อ M นำหน้า คล้ายๆ Mitch จาก The Birds ซึ่งทั้งสองมีปมคล้ายๆกัน, ชอบและสนใจผู้หญิงผมบลอนด์ที่มีประวัติและพฤติกรรมไม่ดี ในขณะที่มีผู้หญิงผมดำโปรไฟล์ดีไว้ใกล้ตัวแล้วแท้ๆ แถมพวกเธอแสดงออกว่ารักเขามากกว่าสาวผมบลอนด์เย็นชา Mark และ Mitch ถูกสันนิฐานไว้ว่าพวกเขาหลงรักสาวผมบลอนด์เนื่องจากพวกเธอคล้ายแม่ของพวกเขา Melanie นั้นลักษณะดูเหมือนแม่ของ Mitch มากและเรื่อง The Birds นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก มาที่ตัวละคร Mark บ้างดีกว่า ถึงแม้ Mark จะไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเขากับแม่ออกมาโดยตรง แต่ดูภาพรวมแล้วเราสามารถพูดได้ว่าไม่ค่อยดีนัก เพราะมันส่งออกมาจากการที่เขามีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยปกติเหมือนคนทั่วไป เขาพยายามจะควบคุมสิ่งที่อันตรายหรือควบคุมไม่ได้ อย่างแรกคือการฝึกเสือจากัวร์หรือแสดงพฤติกรรมรุนแรงกับนางเอกเพื่อความเชื่อใจ แบล้คเมล์นางเอกด้วยการแต่งงาน แถมข่มขืนเธออีกทั้งๆที่สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ทำ

markblackmailในตอนที่เขาบอกว่าเธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาเป็นคนจับเธอได้ ถ้าเป็นพวกแบล็กเมลล์หื่นๆล่ะ
มันจะใช้เรื่องนี้นอนกับคุณได้นะ อืมมมมมม! Mark แกเลยแหละ แกชัดๆ

breakprecolumMark หยิบวัตถุโบราณชิ้นที่ยังสภาพสมบูรณ์ของภรรยาเก่าขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ฟ้าผ่า แล้วโยนทิ้งใหม่ไปอีกรอบให้มันแตก แสดงถึงการไม่สนใจภรรยาเก่าอีกต่อไปเพราะเขาควบคุมเธอให้อยู่ในโอวาสได้เรียบร้อย และไม่น่าสนใจอีกต่อไป ต่างกับสาวงามน่าค้นหาอย่าง Marnie ที่ยังไม่ถูกเข้าคอร์สอบรมเป็นการส่วนตัวกับเขา เธอเปรียบเสมือนเสือจากัวร์ที่เขาปราถนาให้อยู่ภายใต้กรอบรูปที่แสดงถึงความเคารพและเชื่อใจ

.

สิ่งของเร้าอารมณ์และความคลั่งไคล้ทางเพศ

เพราะสัญชาติญาณทางเพศของ Marnie นั้นถูกกักเก็บสะสมอดกลั้นเอาไว้โดยไม่ได้รับการฟื้นฟู แม่ของเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเกลียดผู้ชาย เธอคลั่งไคล้และต้องการความรักจากแม่หรือความอบอุ่นจากผู้หญิงแทนมากกว่า หนังแอบใส่แง่คิดที่ว่า Marnie นั้นอาจจะเป็นพวกสนใจในเพศเดียวกันอยู่หลายต่อหลายฉาก อย่างไรก็ตามทั้งเรื่องนั้นพูดถึงความคลั่งไคล้ทางเพศโดยสื่อผ่านถึงสิ่งของรอบตัว

การเปิดหนังของเรื่อง Hitchcock ต้องการเซ็ทอารมณ์โทนหนังเอาไว้โดยอธิบายจากกระเป๋าสีเหลืองที่ถูกห่อหุ้มเอาโดยหัวขโมยสาว กระเป๋าในฉบับของปู่แกมีความหมายเหมือนของรักของผู้หญิง แถมเจ้ากระเป๋าทรงมันคล้ายๆอวัยวะเพศหญิงด้วย !

bag
หนังเปิดเรื่องด้วยการถ่ายที่กระเป๋าก่อนแล้วตัวละครค่อยๆเดินออกจากล้องไปเรื่อยๆ
มีความหมายเหมือนการขโมย

furMarnie ซื้อขนเฟอร์หรูราคาแพงมาให้แม่เธอ ซึ่งเจ้าตัวเฟอร์เนี่ยมันคือสิ่งของที่แสดงถึงความคลั่งไคล้ทางเพศในหนังคลาสสิคเลยเลยล่ะค่ะ  เธอต้องการให้แม่เธอสนใจมันมากๆ มากกว่าพายของเด็ก Jessie นั่นถึงขนาดพยายามเอามันมาพันรอบคอ Bernice ถึงสองครั้ง แต่เจ้าหล่อนก็ดูไม่ใยดีมันเลยซักนิด

predatorในเรื่องมีบทสนทนาระหว่าง Mark และ Marnie เกี่ยวกับนักล่าและเหยื่อขนาดที่เจ้าหล่อนเข้ามาพิมพ์เอกสารให้แก่เขาอยู่ สัตว์เพศเมียคือสัตว์นักล่า แต่กลับกันเรื่องนี้เธอกลายเป็นผู้ถูกล่าเองซะแทน Mark นั้นสนใจในตัวของ Marnie สุดๆ หรือจะเป็น Sex Object ดีๆของเขานั้นเอง

 

ความสัมพันธ์ระหว่าง Marnie และแม่

Marnie สาวบลอนด์ผู้เย็นชาต่อโลกภายนอก แต่มีสิ่งหนึ่งเธอไม่เคยเย็นชาด้วยเลยคือแม่ผู้อันเป็นที่รัก แต่เจ้าหล่อนดันเย็นชากับเธอมากๆ เธอฝังใจมาตั้งแต่เด็กๆว่าทำไมแม่ไม่รักเธอ เธอทำทุกอย่างให้แม่รักทุกๆอย่างๆ และดันมีตัวละครอย่างเด็กน้อย Jesse เข้ามา เพื่อเล่าความสัมพันธ์ของแม่ลูกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Bernice นั้นดูแลและให้ความรักกับ Jesse มากจน Marnie นั้นอิจฉาเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำพายที่ดูสำคัญกว่าของที่เธอซื้อให้ หรือ การที่หวีผมให้เด็กน้อยนั้นสำคัญกว่าเธอมานอนซบตัก

nightmareฉากฝันร้ายในตอนที่เธอกลับบ้านถูกปลุกด้วยเสียงของแม่  พอภาพฉายไปที่แม่ของเธอเป็นเงาดำทั้งร่างแม่ เหมือนบอกเป็นนัยๆว่า Marnie มองเห็นแม่เธอเหมือนปีศาจใจร้าย พร้อมด้วยบทสนทนาที่เธอพูดว่า เธอรู้สึกหนาว ไม่ใช่หนาวตอนฝันหรอกนะ แต่เป็นตอนที่แม่มาเรียกเธอนั่นแหละความหนาวมันค่อยปรากฏขึ้น ความหนาวในที่นี้เป็นการเล่นคำว่า หนาว หรือ เย็นชา

momworryสุดท้ายแล้ว Marnie ผู้มีอาการซับซ้อนทางจิตก็เรียนรู้และเข้าใจทั้งหมด เธอไม่ได้เป็นขโมยโดยเนื้อแท้ สิ่งที่เธออยากได้คือความรักจากแม่ เธอเลยต้องขโมยสิ่งอื่นเพื่อมาชดเชยตรงนี้ ตามที่พระเอกเราได้กล่าวเอาไว้ Bernice ไม่ได้เย็นชากับเธอเพราะว่าไม่รัก แต่เพราะเจ้าหล่อนตั้งความหวังเอาไว้ที่ Marnie สูงมากจนเหมือนเป็นสาวเจ้าระเบียบและเข้มงวดเกินไป ถ้าเทียบกับสิ่งที่เธอปฏิบัติต่อเด็กคนอื่นแล้ว Bernice ไม่อยากให้ลูกสาวกลับไปจุดเดิม จุดที่เลวร้ายอีก เจ้าหล่อนเพียงแค่อยากเริ่มต้นและเป็นแม่ที่ดี แต่กลับนอยด์และผิดหวังในตัว Marnie ที่ชอบซื้อของแพงๆมาปรนเปรอเธอหรือชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต และอาจจะทำตัวน่าผิดหวังไปเป็นเมียน้อยเจ้านาย

 

การครอบครอง

โดยรวมหนังพูดถึงการครอบครอง การเป็นเจ้าของ ตัวละครทุกตัวล้วนเกี่ยวข้องกับการครอบครองทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ นางเอกที่ชอบขโมยของ เธอขโมยเอามาปนเปรอความสุขของแม่ เพราะอยากให้แม่รักเธอ… เธออยากครอบครองความรักของแม่

sweaterbillyMarnie นั้นเกิดมาจากการที่ Bernice นั้นอยากเป็นเจ้าของสเว็ตเตอร์ของผู้ชาย เธอจึงยอมมีอะไรกับเขา

hairtouchingผม ก็สามารถสื่อความหมายในแง่ครอบครองได้เหมือนกัน Jesse นั้นได้รับการแปรงผมจาก Bernice ซึ่งเป็นสิ่งที่ Marnie นั้นอิจฉาเอามากๆ เธออยากครอบครองความรักความเอ็นดูจากแม่ แต่กระนั้นฝ่ายหลังไม่เคยแม้กระทั่งจะยอมให้ลูกนอนตัก พอมาตอนที่รู้ความจริง Marnie ที่มานอนตักแม่ เจ้าหล่อนน้ำตาไหลพยายามจะเงื้อมมือจับผมของลูกแต่ไม่ได้ทำ และพอเธอลุกขึ้น Mark ก็เข้ามารวบและลูบผมเธอแทน นั่นแปลง่ายๆว่า ต่อไปนี้ลูกสาว sugar pop คนนี้จะไปอยู่ในความดูแลของคนอื่นแล้ว (แอบซึ้งเนอะ)

trapanimallovemeMark ก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่ชอบครอบครองและควบคุม เขาอยากเป็นเจ้าของ Marnie โดยที่เคยพูดว่า “ผมตามล่าเพื่อจับคุณและจะเก็บคุณไว้” หรือจะเป็นอีกบทสนทนาที่ว่าเขาบอกว่ารักหล่อนและต้องการแต่งงาน แต่เธอกลับสวนมาว่า “คุณไม่ได้รักฉันหรอก ฉันก็แค่เป็นเหยื่อที่คุณล่า” หรือจะเป็นฉากข่มขืนเธอเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จะว่าไปนิสัยของ Mark นี่คงเปรียบคล้ายๆกับ Hitchcock ที่ชอบควบคุมและบังคับเหล่านักแสดงสาวผมบลอนด์ของเขาตั้งแต่ Grace Kelly, Kim Novak, Eva Marie Saint จวบจนมาถึง Tippi Hedren

 

ว่าด้วยเรื่องตอนจบ

endingsceneในฉากตอนจบนั้นคนดูอย่างพวกเราต่างรู้สึกหงุดหงิดใจใช่ไหมคะ ว่าตกลงมันยังไงแน่ไม่เคลียร์เลย อ่ะใช่แล้วหนังไม่ได้บอกตอนจบไว้ชัดเจน ถึงแม้ว่า Marnie จะจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วและแม่ก็บอกรักเธอแล้วก็ตาม แต่ไม่มีการคอนเฟริม์บอกคนดูอย่างเป็นทางการเลยว่าหายขาดแล้วจริงๆ ซึ่งหลังจากสองพระนางเดินออกมาจากหลังฝนหยุดตก ก็มีเด็กผู้หญิงเสื้อเหลือง (มาเตือนภัยคนดู) มองมาที่เจ้าหล่อน และต่อด้วยการเหล่าเด็กๆ ร้องเพลง Mother, Mother, I am ill… นั้นก็เป็นลางบอกเหตุง่ายๆว่าเธออาจจะยังไม่หายขาดนะ อย่างไรก็ตามการที่เธอมีความทรงจำกลับมามันก็พอมีแสงสว่างมาบ้างไม่ใช่ว่ามืดแปดด้านทีเดียว นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีค่ะ

 

สรุป

Marnie เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าถูก Hitchcock รวบรวมองค์ประกอบสำคัญจากหนังเรื่องก่อนๆของเขาเอามาใส่ไว้ในนี้ไม่ว่าจะ เป็นเนื้อเรื่องที่ตึงเครียดจริงจัง, ความลับและการโกหก, ผลงานการถ่ายจากภาพ, การเปรียบเปรยสื่อความหมายจากฉบับ Freud, การใช้สีเพื่อเล่าเรื่อง หรือแม้กระทั่งเสียดสีความชอบส่วนตัวของเขาเอง Marnie เป็นหนังรักประเภทดิบๆ เถื่อนๆ และ Hitchcock เองก็ไม่เคยทำหนังแบบนี้มาก่อนเลย แถมตัว Hedren  ก็ถ่ายทอดตัวละครนางเอกสาวผู้มีปมอดีตออกมาได้ดีมากๆ เรื่องนี้สามารถหาซื้อได้ตามเน็ตอีกเช่นเลยและมีบรรยายไทยรองรับ

ต้องขอขอบคุณมาจากหลายๆแหล่งจริงๆที่ให้ฉันได้อ่านและทำความเข้าใจ รวบรวมและนำมาเป็นเรฟในการเขียนบทความนี้ ข้อมูลบางส่วนมาจากหนังสือ Hitchcock’s Motif’s, Dial M for Mother, เว็บหนัง Marnie ฯ

 

ความสนุก :

starrating-02

ภาพรวม :

starhallf-01

.

– ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ –
Classic Reviewer

ใส่ความเห็น