The African Queen (1951)

รีวิวหนังรัก-ผจญภัยในการล่องเรือฝ่าด่านทหารในทวีปแอฟริกา โดยเป็นเรื่องราวของชายขี้เมากับหญิงเรียบร้อยที่สถานการณ์จำเป็นบีบบังคับให้พวกเขาต้องมาอยู่ด้วยกันบนเรือ African Queen หนังเรื่องนี้เป็นการเผชิญบทบาทของสุดยอดดาราชาย-หญิงยุคคลาสสิค ที่ AFI มอบตำแหน่งให้, Humphrey Bogart และ Katharine Hepburn พร้อมทั้งการันตีฝีมือการกำกับจาก John Huston

The African Queen (1951) เป็นเรื่องราวความรักและการผจญภัยของหญิงชายคู่หนึ่งที่แตกต่างกันสุดขั้วบนเรือกลไฟเก่าๆนามว่า ‘African Queen’ โดยเหตุการณ์เริ่มต้นที่ทางฝั่งตะวันออกของแอฟฟริกาในช่วงสงครามโลกครั้งแรก Charlie Allnut (Humphrey Bogart) กัปตันเรือกลไฟดังกล่าวอาสาพา Rose Sayer (Katharine Hepburn) น้องสาวพรหมจารีย์ของหมอสอนศาสนากลับไปยังเมืองใหญ่หลังจากที่พี่ชายของเธอเสียชีวิตโดยถูกพวกเยอรมันมารุกราน ระหว่างการเดินทางทั้งคู่ต่างเอือมระอาของพฤติกรรมอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ต้องมาร่วมมือกันในการใช้ African Queen ลำนี้เป็นฐานบัญชาการรบกับฝ่ายศัตรู

____________________________________

หนังดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกัน ประพันธ์โดย C. S. Forester ออกวางจำหน่ายในปี 1935 ซึ่งภายหลังพอนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ John Huston มานั่งแท่นกำกับและลงมือเขียนบทหนังร่วมกับทีมงานเองอีกด้วย ทั้งนี้ The African Queen เป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกของเขา และดารานำชายหญิง Bogart และ Hepburn

ฉากสถานที่ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ทวีปแอฟริกา ประเทศ Uganda และ Congo และส่วนหนึ่งถ่ายทำที่อังกฤษ (ฉากที่ตัวละครของ Bogart และ Hepburn อยู่ในน้ำ ถ่ายทำในสตูดิโอแทงส์น้ำที่ Middlesex) เนื่องจากบางฉากนั้นได้ถูกพิจารณาแล้วว่าอันตรายเกินไปหากถ่ายทำในที่แอฟริกาโดยตรง นอกจากนี้การเลือกมาถ่ายไกลข้ามทวีป ทำให้นักแสดงและทีมงานกองถ่ายต้องวุ่นวายกันยกใหญ่เพราะพวกเขาต้องทนเจ็บทนป่วยต่อสภาพความเป็นอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ มีอยู่ฉากหนึ่งที่ Hepburn กำลังเล่นออแกนแต่ดันมีถังปี๊บวางอยู่ข้างๆ เพราะเธอมักจะมีอาการแย่ระหว่างถ่ายทำ ทางด้าน Bogart อวดโอ้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ยังสบายดีอยู่ และยังบอกอีกว่าไม่ต้องดื่มน้ำในบริเวณนี้ก็รอดแล้ว เพราะเจ้าตัวพกเหล้ามาดื่มเองไว้เป็นภูมิต้านทาน

The African Queen เป็นหนังที่ดูสนุกอมยิ้มได้ทั้งเรื่อง เนื้อเรื่องมาในรูปแบบธรรมดาสุดๆกับการให้สองตัวละครที่ต่างกันสุดขั้วต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่อันที่จริงหนังมีจุดมุ่งหมายหลักของเรื่องไม่ได้เน้นที่ความรักเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการร่วมมือเพื่อต่อสู้กับเหล่าทหารนาซี โดยมีเรือ African Queen เป็นฐานบัญชาการรบ นอกจากนี้หนังต้องการบอกเราว่าคุณค่าของคนไม่ได้ขึ้นอยู่ทีหน้าตาหรือบุคคลิกภายนอก Rose Sayer นางเอกของเรื่องอาจจะไม่ใช่คนสวย ดูเรียบร้อยจนไร้เสน่ห์ต่อผู้ชาย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชายปากร้ายขี้เมาอย่าง Charlie Allnut ตกหลุมรักก็คือความฉลาดและจิตใจที่แข็งแกร่งของเธอ ในความรู้สึกส่วนตัว, เราสัมผัสถึงความดิบเถื่อน, ความเป็นมนุษย์ในความสัมพันธ์ของสองตัวละครนำ มันนุ่มนวลและหยาบกระด้างได้ลงตัวดี ความรู้สึกดีๆของ Rose และ Charlie มันค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เขาและเธอได้เรียนรู้ด้านในของจิตใจของแต่ละฝ่ายและเติบโตไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ‘เรือ’ ในเรื่องเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง, ในเรื่องนี้มีความหมายสื่อถึงความรักที่ค่อยเติบโต แถมตัวเรือดังกล่าวในเรื่องนี้มความพิเศษตรงที่มันทนทานต่อเหตุภัยต่างๆ เหมือนความรักของ Allnut และ Sayer ที่แข็งแกร่งแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

Humphrey Bogart ในวัย 52 ปี พลิกบทบาทสุดขั้ว หมดคราบหล่อมาดเท่ สะอาด กลายมาเป็นไอ้หนุ่มซกมก ขี้เมา หนวดเครารุงรัง แต่กระนั้นปากยังคงความเราะร้าย ช่างถากถางเก่งไว้เหมือนเดิม เราชอบผลงาน Bogie จากเรื่องนี้มาก ไม่คิดว่าจะกล้าทำอะไรเพี้ยนได้ขนาดนี้ ส่วนทางด้าน Katharine Hepburn ในวัย 44 ปี รับบทบาทเป็นสาวเรียบร้อยแสนเฉิ่ม ซึ่งคาแรคเตอร์ดังกล่าวนี้ฉีกจากบทก่อนๆที่เคยแสดงก่อนหน้านี้ หนังเรื่องนี้อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิตการแสดงที่เหลือของเธอ ซึ่ง Kath หันมารับบทที่ดูเป็นผู้ใหญ่และนิ่งขึ้น สิ่งที่เด่นชัดของการแสดงคือเคมีของพระ-นางที่ลงตัวสุดๆ ทั้งๆที่เจอกันเป็นครั้งแรก นอกจากนี้บท Charlie และ Rose เคยถูกพิจารณาโดยให้นักแสดงอาทิ John Mills, David Niven, และ Bette Davis มาเล่นนำด้วยค่ะ

หนังได้เข้าชิงออสการ์ถึง 4 รางวัล อาทิ ดารานำชาย-หญิงยอดเยี่ยม, บทหนังดัดแปลงยอดเยี่ยม, และผู้กำกับยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามมีเพียง Humphrey Bogart ที่หยิบออสการ์มานอนกอดได้สำเร็จ และในเดือนธันวาคมปีถัดมา หนังถูกนำมาดัดแปลงเป็นละครวิทยุ มีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง โดยได้ Humphrey Bogart มารับบทเดิมและ Greer Garson มาประกบคู่

The African Queen เป็นหนึ่งในหนังที่เราประทับใจมากๆ หนังพูดถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงที่นิสัยต่างขั้วถูกบีบให้มาอยู่ด้วยกันในสถานการณ์ลำบาก พวกเขาต้องร่วมกันกัดฟันเพื่อเอาชีวิตรอดจนกลายเป็นเรื่องราวความรักที่ลืมไม่ลง เรื่องนี้มีจำหน่ายในร้านค้าออนไลน์และมีบรรยายไทยรองรับค่ะ

เล่าเรื่องของเรือ African Queen

เรือราชินีแห่งแอฟริกานี้ก่อนที่จะถูกนำมาใช้ในหนังนั้น เคยมีประวัติถูกใช้งานมาอย่างโชกโชน เริ่มแรกเธอถูกสร้างขึ้นในปี 1912 ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีชื่อแรกเกิดว่า the S/L Livingstone สร้างมาเพื่อใช้งานในการคมนาคมบริเวณเส้นสายแอฟริกาเป็นหลัก เพราะช่วงนั้นชาวสหราชอาณาจักรนิยมทำกิจธุระไปมาหาสู่ในแผ่นดินแอฟริกา เรือสาวได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์จากการที่เป็นที่ถูกตาต้องใจของ John Huston เพราะคุณสมบัติที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานที่อยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่พอดิบพอดี อีกทั้งรูปร่างหน้าตาเรือตรงกับภาพในหัวของผู้กำกับ พอใช้ถ่ายหนังจบ the S/L Livingstone ก็เดินทางกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดยถูกส่งตัวกลับไปใช้งานดั่งเดิม

ต่อมาในช่วงปี 1970’s เรือสาว The African Queen ก็ถูกค้นพบที่ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ต่อจากนั้นเธอก็ถูกซื้อและส่งตัวไปที่สหรัฐอเมริกา และถูกผลัดเปลี่ยนหลายเจ้าของจนมาถึง Sr. Jim Hendricks ในอีกเกือบสิบปีถัดมา ซึ่งในขณะนั้นเขาเจอเรือสาวนอนลอยอ่องแอ่งจอดอยู่เฉยๆที่ Ocala, Florida ท่านเซอร์จึงนำเธอไปที่ Key Largo, Florida แทนและเขาทำให้เธอกลับมาชีวิตใหม่อีกครั้งโดยเธอได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ในการเป็นเรือล่องแม่น้ำชมวิวแทน ถึงเธอจะเป็นแค่เรือ แต่เธอก็มีอายุไขโดยปี 2001 เครื่องยนต์ของเธอหยุดทำงานและจอดตายทิ้งไว้ไม่ได้รับการซ่อมแซม (เป็นความประสงค์ของครอบครัว Hendricks)

เข้าปี 2011, กัปตัน Lance และภรรยา Suzanne Holmquist ทำข้อตกลงกับเจ้าของเรือ The African Queen โดยนำเรือสาวมารื้นฟื้นความหลังใหม่ ดั่งเช่นที่เคยเป็นเรือที่โลดเล่นอยู่บนจอเงินเคียงข้างดาราระดับพระกาฬอย่าง Bogart และ Hepburn หลังจากเธอถูกซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิมแล้ว การเดินทางเปิดตัวครั้งใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีผู้โดยสารกิติมศักดิ์อย่าง Lauren Bacall ภรรยาอันเป็นที่รักของ Bogart และลูกชายของพวกเขา Stephen Bogart

ปัจจุบันนี้เราสามารถล่องเรือ the African Queen ชมวิวได้ด้วย โดยแต่ล่ะรอบมีความยาวนานประมาณชั่วโมงครึ่ง อาศัยความเร็วประมาณ 5 – 6 นอต เริ่มต้นจากคลอง Key Largo ไปถึงทะเลเปิด แล้วค่อยกลับ มีรอบตั้งแต่สิบโมงเช้าและเริ่มรอบใหม่อีกทุกๆสองชั่วโมงจนถึงหกโมงเย็น

เกร็ดเล็กๆ

  • บท Allnut นั้น ถูกตั้งใจว่าให้เป็นคนที่พูดสำเนียงอังกฤษแบบ Cockney แต่ทีมงานต้องเปลี่ยนแผนรื้อบทเขียนใหม่ เพราะว่า Bogart ไม่สามารถทำสำเนียงดังกล่าวได้ ฉะนั้นจึงเปลี่ยนตัวละครเอกมาเป็นชาวแคนนาเดียนแทน
  • กองเซ็นเซอร์ไม่อนุญาติให้บทหนังดั้งเดิมบางตอนเผยแผ่ออกไป อย่างเช่น การที่มีสองตัวละครชายหญิงอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว (ตามหนังสือโดยตรง)

____________________________________

ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
Classic Reviewer


ผู้กำกับ

นักแสดง

ใส่ความเห็น