The Petrified Forest (1936)

รีวิวหนังนัวร์อาชญกรรมรุ่นบุกเบิกอีกทั้งยังเป็นหนังแจ้งเกิด Humphrey Bogart สุดยอดนักแสดงชายยุคคลาสสิค เรื่องราวของกลุ่มโจรสุดโหดที่เข้ายึดร้านอาหารที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลทราย, The Petrified Forest (1936) เป็นละครบรอดเวย์ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์นำแสดงโดย Leslie Howard (พระรอง Gone with the Wind), Bette Davis และ Humphrey Bogart

The Petrified Forest (1936) เป็นชื่ออุทยานป่าหินในรัฐแอริโซนา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ในเรื่องซึ่งเป็นทะเลทราย, Alan Squier (Leslie Howard) นักเขียนชาวอังกฤษผู้เร่ร่อนอย่างไรจุดหมายได้เข้ามาทานอาหารในปั๊มน้ำมันของครอบครัว Maple ที่นี่เขาได้ทำความรู้จักกับ Gabby (Bette Davis) ลูกสาวเจ้าของร้านผู้เป็นสาวน้อยช่างฝัน ทั้งคู่พูดคุยต่อกันติดอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความรู้สึกดีที่มีให้กัน แต่ไม่ทันไรแก๊งค์โจรอาชญากรสุดโหดนำโดย Duke Mantee (Humphrey Bogart) ก็เข้ายึดร้านอาหารและจับลูกค้าในร้านเป็นตัวประกัน

____________________________________

สร้างมาจากละครบรอดเวย์ในชื่อเดียวกันปี 1935, โดยได้ Leslie Howard และ Humphrey Bogart ที่เล่นเวอร์ชั่นบรอดเวย์กลับมารับบทบาทเดิมในเวอร์ชั่นจอเงิน ตัวละคร Duke Mantee หัวหน้าโจรแก๊งสเตอร์ได้แรงบันดาลใจมาจาก John Dillinger อาชญากรชื่อดังของอเมริกาในช่วงต้น 1930’s และสาเหตุที่ Bogart ได้รับบทดังกล่าวเมื่อตอนเล่นบรอดเวย์อาจเป็นเพราะว่ารูปประพันธ์คล้ายกับ Dillinger รวมถึงนักแสดงชายได้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งค์อาชญากรเพื่อนำมาใช้เลียนแบบในการแสดงให้ดูสมจริง

โดยรวมเป็นหนังที่มีบทบทสนทนาเยอะมาก ต้องใช้ความคิดไล่ตามตัวละครตลอดโดยเฉพาะบทของพระเอกที่มาในรูปแบบชายที่อุดมไปด้วยสติปัญญา รวมถึงหนังยังพูดถึงสังคมอเมริกันในยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ที่หลายชีวิตประสบปัญหา บรรยากาศภายในหนังค่อนข้างตึงเครียด แต่ก็มีช่วงปล่อยมุขตลกออกมาเป็นช่วงช่วงให้หายเครียด ตัวละครในเรื่องล้วนมีปมที่ติดอยู่กับอดีต พวกเขาเหมือนจิตวิญญาณที่หลงทาง ฉากหลังจึงเป็นทะเลทรายที่วังเวงไร้จุดหมาย ซึ่งการมาเยือนของตัวละคร Duke Mantee อาชญากรสุดโหดกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัวละครอื่นๆ ชื่อเรื่อง, The Petrified Forest มีสองความหมาย อย่างแรกที่เข้าใจทันทีคืออุทยานแห่งชาติป่าหินในรัฐแอริโซนา แต่อีกความหมายหนึ่งหมายถึง สิ่งมีชีวิตที่กลายเป็นหิน (Petrified = กลายเป็นหิน) ซึ่งบ่งบอกถึงตัวละครภายในเรื่องที่ยังติดแหงกอยู่กับอดีต ไม่มองไปสู่อนาคตเหมือนกับพืชพันธุ์ที่กลายเป็นหินไม่เจริญงอกงาม

ส่วนที่รู้สึกประทับใจที่สุดในหนังคือการแสดง ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ Leslie Howard และ Humphrey Bogart ส่วนตัวเราเทคะแนนให้ Howard เหนือกว่านิดหน่อย เพราะบท Alan Squier ที่เขาแสดงนั้นดูมีสเน่ห์และฉลาดไหวพริบดี อีกทั้งเขาสามารถถ่ายทอดออกมาได้กลมกล่อมไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ฝั่งของ Bette Davis ผู้รับบท Gabby จะเด่นน้อยกว่านักแสดงชายสองคน แต่เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความสดใสพร้อมจิตวิญญาณเสรี ซึ่งเราไม่ค่อยชินกับบทบาทของเธอในเรื่องนี้เลย ก็คุ้มอยู่นะเพราะเบ็ตตี้เล่นออกมาได้น่าเอ็นดู เคมีของเธอกับ Howard ก็เข้ากันดีมาก ปิดท้ายด้วย Humphrey Bogart ผู้แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ บทบาทตัวร้ายที่เขาได้รับนั้นมีแอร์ไทม์น้อยกว่าคู่พระนางแต่กลับกลายเป็นที่น่าจดจำ เพราะเรารู้สึกว่าตัวละคร Duke Mantee นั้นถึงจะเป็นอาชญากรอันตราย แต่เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนทั่วไป ซึ่ง Bogart แสดงได้เข้าถึงบทบาทจริงๆโดยเฉพาะช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่อง – บท Duke Mantee เริ่มแรกทางค่ายอยากได้ Edward G. Robinson มารับบทดังกล่าวเพราะชื่อของเขาสามารถการันตีความสำเร็จและรายได้มากกว่า Humphrey Bogart แต่ Leslie Howard ที่ขณะนั้นเป็นสตาร์ชื่อดังยืนกรานว่าบทตัวร้ายนี้ต้องเป็นของ Bogart เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย – ในความคิดเห็นของเรา Robinson ดูเหมาะกับบท Duke Mantee มากกว่า Bogart ตรงที่เขาดูมีออร่าความดุดัน น่าเกรงขาม แต่ก็ไม่เสียดายเลยที่บทนี้ตกไปอยู่กับ Bogart ซึ่งเขาทำออกมาได้ดีทีเดียว (แอบจั๊กจี้นิดนึง โบกี้ดูหนุ่มแล้วกร้าวมากในบทหัวหน้าโจร ตอนเขาปรากฏตัวนี่เราเผลอยิ้มออกมาเลย) จากเหตุการณ์ดังกล่าว Bogart ซาบซึ้งต่อ Leslie Howard เป็นอย่างมาก และหลังจากที่นักแสดงรุ่นพี่คนนี้เสียชีวิตในปี 1943 เพื่อให้เกียรติและแสดงความนับถือ, Bogart จึงตั้งชื่อลูกสาวว่า ‘Leslie Howard Bogart’ ตาม Leslie Howard

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจำหน่ายในร้านค้าออนไลน์และมีบรรยายไทย

____________________________________

ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
Classic Reviewer


นักแสดง (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักแสดง)

ใส่ความเห็น