River of No Return (1954)

รีวิวหนังแนวตะวันตก-ดราม่าผจญภัยของเจ้าแม่เซ็กซิมโบล, Marilyn Monroe เล่าเรื่องราวของพ่อลูกและนักร้องสาวที่ชะตาถูกมัดรวมกันในการผจญภัยล่องแม่น้ำสายพัดเชี่ยว River of No Return (1954) กำกับโดย Otto Preminger นำแสดงโดย Robert Mitchum, Marilyn Monroe, Tommy Rettig และ Rory Calhoun จุดเด่นของหนังอยู่ที่ฉากหลังอันสวยงามจนลืมหายใจของเทือกเขาแคนนาเดียน ร็อกกี้

River of No Return (1954) เล่าเรื่องราวของ Matt Calder (Robert Mitchum) ชาวนาที่กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ Mark (Tommy Rettig) ลูกชายวัยเก้าขวบหลังพึ่งพ้นโทษ เขาได้บังเอิญช่วยชีวิต Kay (Marilyn Monroe) นักร้องสาวในร้านเหล้าและ Harry (Rory Calhoun) แฟนหนุ่มผีพนันที่กำลังเดินทางไปล่าทอง แต่สิ่งที่ Harry ตอบแทนกลับเป็นการขโมยม้าและปืน ทิ้งให้พวกเขาที่เหลือไร้อาวุธป้องกันตัวจากเผ่าอินเดียแดงที่รอบทำร้ายอย่างไม่ตั้งตัว เหตุการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้ทั้งสามหนีตายลงยังแม่น้ำสายอันตราย 

____________________________________

ถ้าถามว่า River of No Return เป็นหนังเวสเทิร์นที่ดีหรือเปล่า สำหรับเรามันอยู่ในระดับกลางค่อนดี มีสเน่ห์น่าหยิบกลับมาดูเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะบรรยากาศในตัวหนัง เคมีของ Robert Mitchum กับ Marilyn Monroe ที่ดูลงตัวกลมกล่อม แต่ทั้งนี้น่าเสียดายที่เนื้อหาการเล่าเรื่องยังขาดพลังไดนามิค เช่นปมปัญหาที่ลูกรู้สึกไม่ดีต่อพ่อเมื่อทราบว่าพ่อเคยติดคุก มันขาดความตึงเครียดที่จะสามารถบิ๊วไปถึงจุดไคลแม็กซ์ ด้านการตัดต่อเล่าเรื่องที่ยังดูขาดเกินๆ รวมไปถึงรายละเอียดบางอย่างที่ไม่สมจริง อย่างไรก็ตามข้อดีของหนังคือเคมีของนักแสดงที่ลงตัว ตัวละครนำทั้งสามมีการพัฒนาผ่านการฝ่าฟันอุปสรรคมา พวกเขาเรียนรู้ ผูกพันธ์กันทีละเล็กทีละน้อย  

ทั้งที่หนังมีโครงสร้างน่าสนใจแต่เนื้อเรื่องรายละเอียดกลับทำได้ไม่ดี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ Otto Preminger ผู้กำกับไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีที่จะสร้างหนัง เขาแค่ถูกค่ายต้นสังกัดมอบหมายงานมาให้ ช่วงถ่ายทำในกองเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น ครั้นพอเข้าช่วงตัดต่อเขาก็ทิ้งงานไปเที่ยวยุโรป ทำให้ Jean Negulesco ผู้กำกับอีกคนต้องมาปฏิบัติหน้าที่แทนในช่วงการถ่ายซ่อม (ผู้กำกับ How to Marry a Millionaire) แถมโปรดิวเซอร์, Stanley Rubin ต้องมานั่งช่วยตัดต่อหนังร่วมกับทีมงานอีก ซึ่งด้วยประการดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าทำไมหนังขาดพลังและความต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง อย่างไรก็ตามถ้ามองอีกมุมหนึ่ง Otto Preminger เป็นผู้กำกับออสโตร-ฮังกาเรียนที่เก่งคนหนึ่งในฮอลลิวู้ด เขาถนัดงานสายนัวร์อาชญกรรมดราม่า และคงไม่ตอบโจทย์ในการกำกับหนังแนวเวสเทิร์นอเมริกันจ๋า เพราะขาดความเข้าใจในเซนส์ของหนังแนวนี้ อีกทั้งเอกลักษณ์งานเคลื่อนกล้องสายถนัดของเจ้าตัวยังไม่ถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้อีกด้วย 

นอกจากงานที่ถูกใส่ใจไม่พอแล้ว ช่วงการถ่ายทำก็ติดปัญหาเยอะแยะ เริ่มตั้งแต่ฟ้าฝนตกไม่เป็นใจ, Robert Mitchum ติดเหล้า, ส่วนฝั่ง Otto Preminger มีปัญหาอย่างรุนแรงกับ Natasha Lytess แอคติ้งโค้ชของ Marilyn Monroe เนื่องจากเจ้าหล่อนเข้ามาบงการงานแสดงของดาราหญิงโดยบอกให้เธอพูดออกเสียงเน้นคำที่เกินจริง ซึ่งขัดกับสิ่งที่ Otto ต้องการ เขาต้องการให้เธอพูดแบบเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้อีกหนึ่งวีรกรรมที่แอคติ้งโค้ชของ Marilyn ได้ก่อจน Otto รับไม่ได้อีกอย่างคือการเข้าไปยุ่งยามการแสดงของดาราเด็ก, Tommy Rettig ส่งผลให้น้องเสียสมาธิในการแสดง Otto ที่เอ็นดูและนับถือในความเป็นมืออาชีพของ Tommy กังวลว่าน้องจะขาดความมั่นใจในการแสดง จึงจัดการขั้นเด็ดขาดโดยการแบนเธอออกจากกองถ่ายจนสำเร็จ อย่างไรก็ตาม Marilyn Monroe กลับไปขอร้องบอสหัวหน้าค่ายให้เอาแอคติ้งโค้ชเธอกลับมา เพราะเจ้าหล่อนไม่สามารถทำการแสดงต่อไปได้ นายใหญ่จึงต้องสปอยล์ทำตามคำขอเนื่องจาก Marilyn กำลังอยู่ในช่วงโด่งดัง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Otto ไม่พอใจและหันมาระบายอารณ์โกรธลงไปที่เธอแทน ฝั่งของ Marilyn Monroe เองก็บอบช้ำเองไม่น้อย เจ้าหล่อนเคยเกือบจมน้ำตายและบาดเจ็บที่ข้อเท้าในขณะถ่ายทำหนังอีกด้วย ทั้งนี้เธอเคยกล่าวว่าเป็นหนังเรื่องที่แย่ที่สุดในงานแสดง 

อย่างไรก็ตามข้อดีของหนังอยู่ที่งานแสดง เราชอบเคมีของคู่พระนางที่ลงตัว และเบื้องหลังทั้งสองเข้ากันได้ด้วยดีเช่นกัน Robert Mitchum เป็นดาราชายที่มีสเน่ห์ สามารถแสดงได้ทั้งบทดีและร้าย โดยภายในเรื่องนี้เขาสามารถถ่ายทอดบทพ่อคนดีได้อย่างน่าประทับใจ พื้นฐานของ Mitch นั้นเป็นคนชิลๆ สบายๆ เขาเข้าใจในอาการป่วยของ Marilyn และคอยดูแลซัพพอร์ตเธอตลอดการถ่ายทำ และอันที่จริงทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนจะเข้าวงการแล้ว เพราะ Mitch เคยเป็นเพื่อนร่วมกับสามีคนแรกของ Marilyn เมื่อครั้นก่อนจะเข้าวงการ ทางด้านการแสดงของ Marilyn ต้องยอมรับจริงๆว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ Otto ได้แสดงความเห็นไว้ ดูเธอจะติดการพูดแบบเน้นเสียงเน้นคำที่ชัดเกินจริง สไตล์เดียวกันกับที่เธอมักพูดในงานแสดงเรื่องอื่น แค่ปรับให้ช้าลงและจริงจังมากขึ้น ซึ่งไม่เข้ากันกับหนังแนวเวสเทิร์นแบบนี้เลย แต่แปลกดีตรงที่ฟังง่ายนี่แหละ อย่างไรก็ตามภาพรวมงานแสดงของเจ้าหล่อนถือว่าโอเคเลย โดยเฉพาะด้านการร้องเพลงที่ยืนหนึ่งมาเลยทีเดียว Rory Calhoun กลับมาร่วมงานกับ Marilyn Monroe อีกครั้งหลังจากพึ่งเจอกันไปหมาดๆใน How to Marry a Millionaire (1953) เรื่องนี้เขารับบทตัวร้ายเจ้าสเน่ห์ อาจจะไม่ได้มีบทบาทมากแต่ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ

‘River of No Return’ เป็นชื่อเล่นของแม่น้ำ Salmon River ที่ถูกตั้งมาจากกระแสน้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก โดยเรือสามารถล่องไปตามแม่น้ำได้แต่กลับยากที่จะขึ้นฝั่ง (กองถ่ายยกไปถ่ายทำในสถานที่จริง) ทั้งนี้เราไม่มั่นใจว่าชื่อเรื่องถูกตั้งมาจากเหตุการณ์สถานที่ภายในเรื่องเฉยๆ หรือจะแฝงสำบัดสำนวนที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องหรือเปล่า โดยรวมเป็นหนังเวสเทิร์นที่ดูสนุกเพลินๆ ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องการที่หนังทำให้กลุ่มคนพื้นเมืองกลายเป็นตัวอันตราย ‘River of No Return’ มีจำหน่ายในร้านค้าออนไลน์พร้อมบรรยายไทยค่ะ 

____________________________________

ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
Classic Reviewer


ผู้กำกับ

นักแสดง

ใส่ความเห็น