Marlon Brando : 4 เรื่องแสบของนักแสดง


เรื่องที่ 1 : แบรนโด้สมัยเล่นละครเวที


เหล่าคนในวงการฮอลลิวู้ดที่ได้ร่วมงานกับมาร์ลอน แบรนโดต่างรู้ดีกันว่าเขาเป็นไอ้ตัวแสบ! ซึ่งหลายคนที่ได้ร่วมงานด้วยต่างรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของเขา ถึงกระนั้นก็มิอาจปฏิเสธในความอัจฉริยะทางการแสดงของพ่อหนุ่มคนนี้ หนึ่งในพฤติกรรมสุดระอาเกิดขึ้นในสมัยที่แบรนโด้ยังเป็นนักแสดงบรอดเวย์หน้าใหม่ในเรื่อง The Eagle has Two Heads ( L’Aigle à deux têtes) 1946 โดยเขาได้รับบทนำร่วมกับทัลลูลาห์ แบ๊งค์เฮด (นักแสดงนำจาก Lifeboat ของ ฮิตช์ค็อก)

Tallulah Bankhead และ Marlon Brando

ระหว่างช่วงการซักซ้อมแบรนโด้หาเรื่องปวดหัว น่ารำคาญใจให้คนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน โดยมันมักจะเกิดขึ้นในฉากหนึ่งที่ทัลลูลาห์มีบทพูดคนเดียวที่ยาวมากๆ น่าจะราวครึ่งชั่วโมงได้ ซึ่งนั่นทำให้นักแสดงชายรู้สึกเบื่อจนทนไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงแสดงพฤติกรรมบ้าๆบอๆเพื่อขโมยซีนเจ้าหล่อน ไม่ว่าจะเป็นปลดเข้าปลดออกกระดุมกางเกงไปมา (กางเกงแบบใช้กระดุมแทนซิป) ทำท่าชักดิ้นชักงอ แคะขี้มูก มองตาถลึงใส่คนดู วิ้งตาใส่สต๊าฟข้างเวที มีอยู่คืนหนึ่งเอามือล้วงไปเกาตูดแบบแรงๆ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในซอกรูก้น (ตามคำบรรยายของโปรดิวเซอร์ Jack Wilson) แต่ที่กล่าวมานี้ยังไม่หมด เขาเคยยืนหันหลังให้กับคนดูจากนั้นถ่างขาออกและปัสสาวะบนเวที! ทัลลูลาห์ผู้น่าสงสารไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหล่อนงงว่าทำไมคนดูต่างพากันขำระหว่างที่เธอกำลังพูด

ระหว่างการแสดงครั้งสุดท้ายของนักแสดงตัวแสบผู้นี้ มีฉากที่ตัวละครของเขาต้องตาย แบรนโด้ถือโอกาสขโมยซีนคนอื่น เล่นใหญ่เว่อร์วัง ขยายฉากการตายที่นานเกินความจำเป็น ถึงขนาดที่นักวิจารณ์ออกมาแซะว่า โวยวายเหมือนคนที่จอดรถแถวย่านใจกลางเมือง Manhattan ไม่ได้

ทัลลูลาห์สุดทนจะรับมือพฤติกรรมแย่ๆของแบรนโด้ไหว และไล่ไอ้เด็กหนุ่มตัวแสบนี่ออกก่อนจะขึ้นแสดงจริงในเวลาอีกไม่นาน แต่กระนั้นโชคเข้าข้างเขาเต็มๆ เมื่อต่อมาเขาได้รับบท Stanley Kowalski จากเรื่อง A Streetcar Named Desire กลายเป็นแจ้งเกิดแบบเต็มตัว (Tennessee Williams ผู้เขียนบท ออกมาบอกว่าทัลลูลาห์เองอ่ะแหละเป็นคนกระซิบบอกว่าลองเอาไอ้เด็กนี่ไปเล่นดู ถึงจะเกลียดก็เหอะ แต่บทนี่เกิดมาเพื่อมันเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารับฟังไปพิจารณา)

มาร์ลอน แบรนโด้เป็นนักแสดงประเภท method actor (นักแสดงอยู่ในบทบาทตัวละครตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่อยู่นอกจอ) แต่วงการบรอดเวย์นั้นเกลียดนักแสดงประเภทนี้มาก อย่างไรก็ตามแม้ทัลลูลาห์จะดูถูกแบรนโด้ แต่เจ้าหล่อนก็เห็นความสามารถของเขา จึงตกลงรับมาตอนออดิชั่น และสุดท้ายแม้ว่านักแสดงชายจะโดนไล่ออก ตัวของทัลลูลาห์เองก็เคยเอ่ยปากชมแบบกัดๆทำนองว่า มันก็มีบางเวลาที่เขาทำได้เยี่ยมมาก ไอ้เด็กคนนี้มักจะเปรี้ยงสุดๆเวลามันตั้งใจจริงๆ แต่ปกติเวลาอยู่บนเวทีก็ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นักหรอก

อีกฟากส่วนหนึ่งที่แบรนโด้ไม่ค่อยโอเคกับทัลลูลาห์และแกล้งขโมยซีนเจ้าหล่อน อาจจะเป็นเพราะเธอเหมือนแม่ของเขา อายุใกล้เคียงกันแถมยังติดสุราเหมือนกันอีก เมื่อเจอกันครั้งแรกก็เคยจะล่อเขาขนาดกำลังเมาอยู่ นั่นอาจจะทำให้แบรนโด้แขยงและทำพฤติกรรมแย่ๆนี่ออกมา


เรื่องที่ 2 : แบรนโด้โชว์ปาฏิหาริย์


แบรนโด้รับบทเป็นทหารอัมพาตใน The Men (1950) เจ้าตัวเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกอยู่หลายอาทิตย์ โดยการนั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ และกลายเป็นเพื่อนกับเหล่าทหารผ่านศึกที่เป็นอัมพาตของจริงอีกด้วย

วันหนึ่งระหว่างที่แบรนโด้และเพื่อนทหารออกไปดื่มเบียร์ พูดคุยสังสรรค์อยู่นั้นก็มีแม่ชีเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า “สุภาพบุรุษทั้งหลาย ฉันอยากให้พวกคุณยึดมั่นในพลังแห่งความศรัทธาและความดี ถ้าคุณภาวนาสวดมนต์และเชื่อมั่นว่าคุณจะสามารถเดินได้ วันหนึ่งคุณจะลุกออกจากเก้าอี้ได้”

แบรนโด้ตอบกลับไปว่า “โอเค ผมจะลองดูครับ” แล้วหลับตาลงและพูดต่อว่า “ผมเชื่อ, ผมสวดภาวนา………..โอ้พระเจ้าาาาาาาาาาาา นี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ ผมหายแล้วววววววววว” พร้อมทั้งลุกขึ้นแล้ววิ่งหายออกไปเลย ซึ่งนั่นทำให้แม่ชีตกใจขีดสุดแล้วก็เป็นลมล้มพับไปเลย เพื่อนทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันหัวเราะในความแสบของนักแสดงชาย

The Men (1950)

เรื่องที่ 3 : มาร์ลอน แบรนโด vs. แฟรงก์ ซินาตรา


เมื่อมาร์ลอน แบรนโดและแฟรงก์ ซินาตราร่วมงานกันในภาพยนตร์ Guys and Dolls (1955) ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ ซินาตราไม่ชอบความเป็น method acting ซึ่งเขามักจะเรียกพาดพิงจิกกัดแบรนโด้ว่า “ไอ้พึมพำ” ฝั่งของนักแสดงชายตัวแสบอยากจะเอาคืนบ้าง โดยเจ้าตัวรู้ว่าซินาตรานั้นไม่ชอบซ้อมบทและไม่ชอบถูกรีเทคหลายๆครั้ง แบรนโด้จึงใช้วิธีดังกล่าวเล่นงานคืน อย่างเช่นฉากหนึ่งที่ตัวละครของซินาตราต้องกินชีสเค้กในขณะที่ตัวละครของเขาเองกำลังพูด แบรนโด้จึงแกล้งพูดผิดในช่วงท้ายของบทพูด ซึ่งทำให้อีกฝ่ายต้องกินชีสเค้กหั่นใหม่ทุกชิ้นทุกครั้งที่รีเทค จนซินาตราทนไม่ไหวและตวาดออกมาว่า “ไอ้พวกนักแสดงนิวยอร์ก มึงคิดว่ากูกินชีสเค้กได้ซักกี่ชิ้นวะ?”

Guys and Dolls (1955)


เรื่องที่ 4 : แบรนโด้ นักรักของแฟนสาว, รีตา มอเรโน


รีตา มอเรโนเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ The Wendy Williams Show ว่าเธอคบๆเลิกๆกับแบรนโด้เป็นเวลา 8 ปีซึ่งเธอทั้งรักและหลงไหลในตัวนักแสดงชายเป็นอย่างมาก โดยได้กล่าวว่า “แบรนโด้คือนักล่าชั้นเยี่ยม คือราชาของทุกสิ่ง ฉันหมายถึง’ทุกสิ่ง’ เขาคือหนึ่งในสุดยอดบรรดาผู้ชายที่มีแรงดึงดูดทางเพศบนโลกใบนี้” นักแสดงหญิงจาก West Side Story นั้นอยากแต่งงานกับเขา แต่ตัวฝ่ายชายกลับไม่เคยมีท่าทีอยากจะสร้างครอบครัวเลย อีกทั้งช่วงคบหากันรีต้าก็โดนแบรนโด้นอกใจอยู่หลายหน

RIta Moreno (ปัจจุบัน) Marlon Brando และ Elvis Presley

วันหนึ่งเธอไปเจอชุดชั้นในที่ไม่ใช่ของตัวเอง รีต้ากลับบ้านไปนั่งเศร้าปาดน้ำตา แต่วันต่อมาเหมือนโลกพลิกกลับด้านเมื่อเธอได้รับโทรศัพท์ชวนออกเดทจากเอลวิช เพรสลีย์ รีต้าที่กำลังเศร้าอยู่เห็นภาพชุดชั้นในที่เจอเมื่อวานจึงตอบรับคำเชิญ จากนั้นสื่อต่างๆตีข่าวของคนทั้งคู่ นั่นทำให้แบรนโด้ที่รู้เข้าโมโหมากจนถึงขั้นปาเก้าอี้ ซึ่งนั้นทำให้รีต้ารู้สึกสะใจที่ได้เอาคืนแฟนหนุ่ม

ในระหว่างรายการดังกล่าว รีต้ายังถูกถามอีกว่าระหว่างหนุ่มคนไหนที่ทำให้เจ้าหล่อนรู้สึกประทับใจมากกว่ากัน แบรนโด้ หรือ เอลวิช ? รีต้าตอบแบบไม่ลังเลเลยว่า เหมือนเด็กน้อยกับราชา เอลวิชไม่ค่อยเวิคเท่าไหร่นะ คือเขาก็น่ารักแหละ หล่อและขี้อาย แต่แบบเอลวิชกับแบรนโด้อ่ะ เฮ้ยเหมือนค้างคืนกับเด็กอ่อนหัด (amateur night)

Marlon Brando และแฟนสาว Rita Moreno

รีต้าเจอแบรนโด้ครั้งแรกราวปี 1955 โดยเธอบรรยายว่า ตอนนั้นร่างกายเธอรู้สึกเร่าร้อนมาก รู้สึกคลั่งไคล้เขาอย่างหนัก ส่วนฝ่ายชายเองก็ชอบเธอตรงที่สามารถอ่านใจเขาได้ (รีต้าบอกว่า “ฉันอ่านใจเขาได้หมดล่ะ ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องมีผู้หญิงอื่น”) แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นมันค่อนข้างป่วย เนื่องจากฝ่ายชายชอบนอกใจเธออยู่หลายต่อหลายครั้ง รีต้าเคยพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหารัก ซึ่งเจ้าหล่อนรู้สึกละอายต่อความสัมพันธ์ป่วยๆแบบนี้ รีต้าเปรียบแบรนโด้คือยาเสพติด ส่วนเธอก็ติดยาตัวนี้รุนแรงมาก ไม่สามารถก้าวออกมาจากวังวนนี้ได้ และถึงเคยออกมาแล้วก็จะกลับไปวนลูปใหม่ แบบถ้าเธอไม่กลับเอง เขาก็จะตามเธอกลับมา รีต้ากล่าวเพิ่มเติมว่าที่แบรนโด้เป็นแบบนี้เนื่องจากเขามีปัญหาครอบครัว สุดท้ายเธอและเขาได้รับคำแนะนำจากนักจิตบำบัดว่าต้องแยก ไม่เจอกันคือทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายพวกเขาต่างออกไปมีชีวิตใหม่ซึ่งต่างก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่