เบื้องหลังระบบสตูดิโอ 2: ควบคุมชีวิตนักแสดง

ทำลายชีวิต John Gibert ดาราหนังเงียบ
____________________________________

ยุคแห่งหนังเงียบคงไม่มีใครไม่รู้จักจอห์น กิลเบิร์ต (John Gilbert) เขาคือสุดยอดนักแสดงชายนอนเรียงมาพร้อมๆกับรูดอล์ฟ วาเลนตีโน (Rudolph Valentino) แต่นักแสดงชายกลับต้องมาตกต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ยุคหนังพูด ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความสามารถดีพอ แต่เป็นเพราะนายใหญ่แห่ง MGM, หลุยส์ บี. เมเยอร์ (Loise B. Mayer) ต่างหากที่ต้องการกำจัดเขาออกจากวงการเนื่องจากมีปัญหาทัศนคติและการเงินไม่ลงรอยกัน โดยนายใหญ่ผู้นี้ส่งกิลเบิร์ตให้ไปเล่นหนังที่รู้อยู่แล้วว่ากระแสตอบรับจะแย่ หรือกุเรื่องในแม็กกาซีนว่านักแสดงชายไม่สามารถเล่นหนังพูดได้เพราะมีโทนเสียงสูงไม่น่าฟัง และที่แย่ไปกว่านั้นคือช่วงปี 1929 ฮาเวิร์ด ฮอว์กส (Howard Hawks) ผู้กำกับกับมือทองมีแผนจะสร้างหนังพูดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหมายร่วมงานกับจอห์น กิลเบิร์ตโดยมีการนัดเจรจาสัญญายืมตัวพร้อมกับหลุยส์ บี. เมเยอร์ ซึ่งมันสร้างความหวังอย่างเปี่ยมล้นให้กับนักแสดงชายเป็นอย่างมาก แต่ผลลงเอยที่ว่านายจ้างอำมหิตผู้นี้แค่อนุญาตให้คุยเฉยๆ และไม่ยินยอมให้เขาไปเล่นหนัง

ในปี 1931 ชีวิตเขาพลิกกลับด้านสิ้นเชิง สื่อตั้งฉายยาให้กิลเบิร์ตว่า “Hollywood’s Unhappiest Man” หรือผู้ชายที่ทุกข์ที่สุดในฮอลลิวู้ด แถมเขายังทำตัวหลบๆ ซ่อนในสตูดิโอโดยแต่งตัวอำพรางใส่หมวกปิดบังใบหน้า อีกสองปีต่อมาเมื่อสัญญากับค่ายหมดกิลเบิร์ตถูกปล่อยตัว และอีกไม่กี่ปีเขาเสียชีวิตจากอาการพิษสุราเรื้อรังด้วยวัย 36 ปี

ไล่ Clara Bow เพราะเป็นโรคประสาท
____________________________________

A sex symbol is a heavy load to carry when one is tired, hurt and bewildered

Clara Bow

” การเป็นเซ็กส์ซิมโบลนี่มันเป็นภาระที่หนักเกินจะแบกรับสำหรับใครที่กำลังเหนื่อยล้า สับสนหลงทางในชีวิต” – คลาร่า โบว์

คลาร่า โบว์ (Clara Bow) เซ็กส์ซิมโบลคนแรกของฮอลลิวู้ด เธอมีเบื้องหลังในวัยเด็กที่ไม่ดีนัก โดยมีพ่อที่ทารุณกรรมทางเพศ แม่ก็เป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) ซึ่งเคยถือมืดอีโต้จะฆ่าเธอ พอเข้ามาในวงการก็โดนคนในครอบครัวเอาเปรียบโดยการขโมยเงินบ้าง นำไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายบ้าง เท่านั้นไม่พอเธอยังโดน Daisy DeVoe เลขาและเพื่อนซี้เอาเปรียบและทำร้ายเธอแบบแสนสาหัส โดยยัยคนสนิทตัวแสบได้ถูกจับกุมเนื่องจากโกงเงินของเธอ และในช่วงสืบคดีชีวิตลับของโบว์ถูกเปิดเผยต่อที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสาวนักปาร์ตี้, เซ็กส์วิตถาร, ยาเสพย์ติดและสุรา สื่อเล่นงานเธอแบบไร้ความปราณี นั่นทำให้เธอเกิดอาการทางประสาท (Nervous Breakdown) 

ในปี 1931 ค่าย Paramount ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เรียกคลาร่า โบว์ที่ขณะนั้นจิตใจเปราะบางให้กลับมาถ่ายทำหนังเรื่อง Kick In (1931) ให้เสร็จ อย่างไรเสียหนังไม่ประสบความสำเร็จ ค่ายโทษว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังเจ๊งและถีบหัวส่ง ซึ่งถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน Paramount มีโดนสังคมยำแน่ แต่สมัยนั้นอาการทางประสาท นั้นยังยากที่จะเข้าใจ กลายเป็นว่าคลาร่า โบว์เป็นบุคคลที่ยากจะทำงานด้วย

ดาราเด็กถูกผู้ใหญ่เอารัดเอาเปรียบ
____________________________________

เหล่านักแสดงเด็ก อาทิ จูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland), เชอร์ลี่ย์ เทมเปิล (Shirley Temple) หรือ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) คือเหยื่อหากินของผู้ปกครอง โดยพวกเธอตกอยู่ในความดูแลควบคุมของแม่แท้ๆ  ซึ่งอนุญาตยินยอมให้ลูกสาวทำงานตามตารางนรกของค่าย เพื่อที่จะใช้จ่ายจากรายได้ของลูกๆ แต่นั่นก็ยังแย่ไม่พอเมื่อเหล่าดาราเด็กถูกลวนลามจากเหล่าผู้ใหญ่ในค่าย ตอนที่เชอร์ลี่ย์ เทมเปิลอายุ 12 ปีถูกอาเทอร์ ฟรีด (Arthur Freed) โปรดิวเซอร์โชว์ของลับใส่ในห้องทำงานของเขา เธอไม่รู้จะทำยังไงจึงหัวเราะออกมาและนั่นและทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกเสียหน้า ฟรีดไล่สาวน้อยออกจากห้อง ส่วนจูดี้ การ์แลนด์เคยโดนผู้บริหารรายหนึ่งจับควานหน้าอกขณะชมว่าเธอมีพรสวรรค์ร้องเพลงดี 

ดาราเด็กทำงานเกินเวลาและถูกบังคับให้กินยาอันตราย
____________________________________

ก่อนที่จูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland) จะมีชื่อเสียงโด่งดังจาก The Wizard of Oz เธอเคยเป็นดาราวัยรุ่นคู่ขวัญกับมิกกี้ รูนีย์ (Mickey Rooney) โดยมีผลงานตั้งแต่ปี 1937-43 พวกเขาทำงานให้กับ MGM ค่ายต้นสังกัดราวกับว่าตนเองเป็นหุ่นยนต์มนุษย์ไม่ได้พักผ่อน, แบบวันละ 18 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ถ่ายเรื่องหนึ่งจบก็ให้เวลาพักผ่อนไม่นานแล้วก็ถ่ายทำอีกเรื่องต่อ เนื่องจาก ณ ช่วงเวลานั้นยังไม่มีกฏหมายควบคุมชั่วโมงทำงานของเด็ก 

แล้วถามว่าพวกเขาทำได้อย่างไร? วิธีจัดการของค่ายคือให้ทั้งคู่กินยากระตุ้นประสาท (Pep Pills) หรือ เพื่อทำให้กระปรี้กระเปร่า พอถึงช่วงดึกก็พาทั้งสองไปห้องพยาบาลแล้วให้กินยานอนหลับแทน (Barbiturates) สี่ชั่วโมงต่อมาก็ค่อยปลุกแล้วให้กินยากระตุ้นประสาทจำนวนมากกว่าเดิมอีกรอบ และมันเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนการกินยาที่ไม่จำเป็นนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว กว่ามิกกี้ รูนีย์จะถอนตัวได้ก็ปาไปตอนอายุ 70 กว่าแล้ว ส่วนจูดี้นั้นพ่ายแพ้ต่อมัน เธอเสียชีวิตลงจากกินยานอนหลับเกินขนาด (Barbiturate Overdose) ในวัย 47 ปี

151030_YMRT_judy-garland-mickey-rooney.jpg.CROP.promo-xlarge2

สปายนักแสดงในสังกัด
____________________________________

ค่ายสตูดิโอสอดแนมนักแสดงในสังกัดเพื่อต้องการมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง MGM ส่งสายลับไปติดตามชีวิตของจูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland) และมิกกี้ รูนีย์ (Mickey Rooney) โดยอ้างว่าเป็นผู้ช่วย และสิ่งที่สปายทำคือรายงานผลกลับให้ค่ายฟังเป็นประจำทุกอาทิตย์ว่านักแสดงของพวกเขาได้เจอใครมาบ้าง ทั้งวันรับประทานอะไร แม้กระทั่งเข้านอนหรือตื่นกี่โมง ฝ่ายมิกกี้นั้นรู้ทันแต่เนิ่นๆ แต่โชคร้ายที่จูดี้นั้นไม่รู้ตัวเลยแถมยังรักสปายผู้นี้ดั่งเพื่อนสนิทและภายหลังร้องไห้อย่างหนักเมื่อทราบความจริง

ค่าย Columbia ก็ไม่แพ้กันเมื่อแฮร์รี่ โคห์น (Harry Cohn) ผู้บริหารต้องการทราบความเคลื่อนไหวของนักแสดงในสังกัด เขาติดเครื่องดักฟังไว้รอบที่ทำงานแม้กระทั่งห้องแต่งตัว และถ้ามีใครพูดจาไม่ดีหรือไม่เห็นด้วยกับเขาก็จะโดนไล่ออกไปเลย แต่นั่นยังหนักไม่พอการดักฟังนั้นมันลามไปถึงออฟฟิศและที่บ้านพักของนักแสดงด้วย ริตา เฮย์เวิร์ทและออร์สัน เวลส์ (Rita Hayworth & Orson Welles) ก็โดนมาแล้ว ซึ่งเวลส์เจอไมโครโฟนหลังรูปภาพในออฟฟิศของเขา นักแสดงชายจึงแกล้งโคห์นด้วยการพูดทักทายผ่านเครื่องดักฟังที่ห้องทำงานทุกเช้าและทุกเย็น

ควบคุมชีวิตรัก และปกปิดรักร่วมเพศ
____________________________________

คิม โนวัก (Kim Novak) ตกหลุมรักกับนักแสดงผิวสี แซมมี่ เดวิด จูเนียร์ (Sammy Davis Jr.) ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่เอามากในสมัยนั้น แฮร์รี่ โคห์น (Harry Cohn) นายใหญ่ค่าย Columbia จ้างเพื่อนที่เป็นกลุ่มเจ้าพ่อนักเลงให้ไปอุ้มนักแสดงชาย พร้อมขู่ฆ่าถ้าไม่ยอมเลิกคบหากับคิม โนวัก ซึ่งแซมมี่ก็หายไปจากชีวิตของนักแสดงสาวหน้าสวยจริงๆ

แต่ในกรณีของมิกกี้ รูนีย์ (Mickey Rooney) นั้นกับลงเอยอีกแบบเมื่อเขาวางแผนจะแต่งงานกับเอวา การ์ดเนอร์ (Ava Gardner) ดาราสาวในสังกัดเดียวกันหลุยส์ บี. เมเยอร์ (Louis B. Mayer) เรียกเขาเข้าไปคุยและบอกว่าไม่อนุญาต เนื่องจากค่ายมีความประสงค์จะรักษาภาพลักษณ์เด็กหนุ่มวัยทีนของเขาเอาไว้และนักแสดงชายเองก็อยู่ในช่วงทำเงินด้วย อย่างไรเสียการโต้เถียงไปมาระหว่างนายจ้างและลูกน้องเริ่มขึ้นและจบลงด้วยที่ฝ่ายมิกกี้ รูนีย์เป็นผู้ชนะ โดยขู่ว่าจะลาออกถ้าหากไม่ยอมให้แต่งงาน

เรื่องเพศที่สามยังเป็นเรื่องต้องห้าม ต้องเก็บซ่อนเอาไว้เป็นความลับดังนั้นจึงมีแค่ข่าวลือออกมาหนาหูต่างๆนาเช่น วินเซนเต้ มินเนลลิ (Vincent Minnelli) ผู้กำกับ, มาร์ค แฮร์รอน (Mark Herron) นักแสดงชาย เป็นสองสามีของจูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland), แครี แกรนต์ (Cary Grant) แต่งงานกับผู้หญิงมาหลายครั้งแต่ความสัมพันธ์ของเขากับแรนดอล์ฟ สก็อตต์ (Randolph Scott) ก็ยังคลุมเครือ, จอร์จ คูกอร (George Cukor) เคยโดนไล่ออกจากตำแหน่งผู้กำกับจากกอง Gone With the Wind เพราะความสาวของเขาเปิดเผยมากจนทำให้คลาร์ก เกเบิล (Clark Gable) รังเกียจและไม่อยากร่วมงานด้วย เหตุผลส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่เคยมีข่าวลือว่าเกเบิลเคยเมาและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับวิลเลียม เฮนส์ (William Haines) นักแสดงชายหนังเงียบเพื่อต้องการไต่เต้าเป็นดารา และเฮนส์ผู้นี้เป็นเพื่อนกับคูกอรซึ่งมันทำให้เกเบิลรู้สึกอึดอัดไม่อยากร่วมงานด้วย 

ทางด้านฝั่งผู้หญิงก็มีข่าวลือหนาหูว่าบาร์บารา สแตนวิค (Barbara Stanwyck) เองก็อาจจะเป็นเลสเบี้ยนตัวเแม่ ส่วนทางด้านคู่รักระหว่างแคทารีน เฮปเบิร์นและสเปนเซอร์ เทรซี (Katharine Hepburn & Spencer Tracy) ก็มีข่าวลือออกมาว่าทั้งคู่อาศัยกันและกันปิดบังรสนิยมทางเพศ โดยทางสตูดิโอปั่นกระแสว่าเขาเป็นคู่รัก ค่ายพยายามจัดห้องพักให้ทั้งสองอยู่ติดกันหรือเวลาไปข้างนอกก็ให้ทั้งคู่นอนห้องข้างๆกัน สก็อตตี้ โบเวอรส์ (Scotty Bowers) อดีตทหารเรือเคยทำงานเป็นคนบริการเซ็กส์ (sex service) ให้กับ, หนังสือมีชื่อว่า “Full Service: My Adventures in Hollywood and the Secret Sex Lives of the Stars.”  โบเวอรส์กล่าวว่าเขานอนกับสเปนเซอร์ เทรซี และชายมีหน้ามีตาอีกหลายคนในฮอลลิวู้ด ไม่พอแค่นั้นเขายังเปิดเผยอีกว่าแคทารีน เฮปเบิร์น เคยติดต่อให้เขาหาผู้หญิงมานอนด้วย ซึ่งโบเวอรส์เคยพาผู้หญิงมามากถึง 150 คนตลอดเวลาที่ติดต่อกับนักแสดงหญิงเจ้าแม่ออสการ์ บางคนมาครั้งสองครั้งแล้วจากไปแต่มีเด็กสาวนางหนึ่งนามว่าบาร์บาราที่ไม่เคยไปไหนเลย อันเป็นเพราะรูปลักษณ์ผมสีเข้มแต่งหน้าไม่จัดโดนใจเจ้าหล่อน ซึ่งทั้งแคทารีนและบาร์บาราไปมาหาสู่กันตลอดช่วงสี่สิบปีที่คบกัน จนกระทั่งนักแสดงหญิงเสียชีวิต ทนายความของเธอส่งเช็คให้บาร์บาราเป็นจำนวน $100,000 

อย่างไรก็ตามก็มีสื่ออีกด้านที่ออกมาต่อต้านสก็อตตี้ โบเวอรส์ว่าโกหกเช่นกัน อย่างเช่นเจมส์ เคอร์ติส (James Curtis) ผู้เขียนชีวประวัติของสเปนเซอร์ เทรซีให้ความเห็นว่าเรื่องราวของโบเวอรส์นั้นก็แค่นิทานหลอกเด็ก เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้เลย, เจนนิเฟอร์ แกรนต์ (Jennifer Grant) ลูกสาวของแครี่ แกรนต์ (Cary Grant) ไม่เคยออกมาพูดพาดพิงเกี่ยวกับหนังสือ Full Service ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่เจ้าหล่อนยืนยันว่าบิดาแมนเกินร้อยแน่นอน โดยเจนนิเฟอร์เคยแสดงความเชื่อมั่นนี้เอาไว้หนังสือของเธอเองที่เขียนเกี่ยวกับบิดา, Good Stuff: A Reminiscence of My Father, Cary Grant

นอกจากนี้สตูดิโอล้ำเส้นไปถึงการจับนักแสดงชายแต่งงานกับอีกเพศเพื่อบังหน้า โดยร็อค ฮัดสัน (Rock Hudson) ที่ขณะนั้นเป็นหนุ่มเนื้อหอม โดนจับแต่งงานกับฟิลลิส เกตส์ (Phyllis Gates) ทั้งที่ๆมีคนรักเป็นเพศเดียวกันอยู่แล้ว แต่ต้องปรบมือให้กับวิลเลียม เฮนส์ (William Haines) ที่มีจุดยืนของตนเอง เขาไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ MGM ส่งมาให้ แต่เลือกที่จะลาออกและผันตัวเองมาเป็นนักออกแบบภายในชื่อดังที่ฮอลลิวู้ดต้องการตัวมากที่สุด เขาและคู่รักจิมมี่ ชิลด์ส (Jimmy Shields) อยู่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

cary-grant-and-randolph-scott-apartment

I can only tell you this – I would rather have taste than either love or money.

William Haines

” ผมบอกคุณได้เพียงว่า ผมเลือกที่จะมีรสนิยมมากกว่าความรัก หรือ เงินทอง ” – วิลเลียม เฮนส์

ข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะไม่ได้จริงแท้ 100% เป็นเพียงข่าวซุบซิบกันในแวดวงฮอลลิวู้ดเนื่องจากประเด็นบางอย่างละเอียดอ่อน ยังไม่เป็นที่ยอมรับเหมือนในสมัยนี้ ที่เอามาเล่าไม่ได้ต้องการทำให้ผู้อ่านรู้สึกแย่นะคะ ยังไงเรื่องจริงเป็นยังก็ไม่มีใครรู้ เพียงแต่ต้องการนำเสนอแง่มุมที่ว่าการไม่ทำตามหรือแตกกฏของระบบสตูดิโอหรือสังคมเรียกได้ว่าโดนทำลายชีวิตการแสดงไปเลยก็ได้ บางคนยอมแลกเพื่อความรู้สึกของคนใกล้ชิด แต่บางคนไม่มีทางเลือกหรือไม่มีสิทธิ์เลือกเลย อย่างเพศที่สามไม่ถูกยอมรับและถูกแก้ไขแบบผิดวิธีทำให้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องต้องมีอันเจ็บปวด หรือเรื่องราวความลับแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น