10 ดารานักดื่ม


Humphrey Bogart


โบกี้คือนักดื่มตัวยง เมาทะเลาะวิวาทเป็นประจำในสมัยหนุ่มๆ หากสังเกตดีๆ เขาจะมีรอยแผลเป็นอยู่ที่ริมฝีปากด้านบน สมัยเป็นนักแสดงบรอดเวย์มักเมาแล้วนอนหลับในบาร์เป็นประจำ บางทีชอบนั่งดื่มและให้ความสนใจกับผู้หญิงที่เข้ามายั่วยวนเขา ความประพฤติเถลไถลเถลน่าเอือมระอามักจะทำให้โบกี้โดนไล่ออกจากที่ทำงานอยู่หลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด เพราะพรสวรรค์พาให้เขาไปไกลถึงฮอลลิวู้ด

แต่พฤติกรรมการดื่มสุราก็ยังเหมือนเดิม โบกี้ชอบเมาหรือบางทีแฮงค์มาทำงาน ครั้งหนึ่งเคยใส่ชุดนอนมากองถ่าย ไม่ยอมเข้าฉาก แต่กลับไปปั่นจักรยานรอบสตูดิโอแทน ขณะถ่ายทำภาพยนต์ Sahara ก็ไม่ยอมออกจากห้องแต่งตัวจนกว่าภรรยา (Mayo Methot) จะเอากระติกใส่มาตินี่มาให้เขา การดื่มของเขาก็เคยถึงกับต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลยทีเดียว เนื่องจากไปมีเรื่องทำร้ายร่างกายเหล่าผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากพวกหล่อนจะแย่งตุ๊กตาหมีแพนด้าของเขา ซึ่ง Bogart นำมันมานั่งเป็นเพื่อนดื่มแก้เหงา

การดื่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดเปิดบ้านปาร์ตี้ โดยมักมีสมาชิกเพื่อนดาราและผู้กำกับชื่อดังที่แวะเวียนมาอยู่หลายครั้ง และภายหลังถูกขนานนามชื่อกลุ่มนักดื่มนี้ว่า The Rat Pack ซึ่งย่อมาจาก ‘Holmby Hills Rat Pack’ ชื่อสถานที่บ้านของเขาและ Bacall ภรรยา

Stephen ลูกชายของทั้งคู่เคยออกมาเปิดเผยสมาชิกแก๊งค์ว่ามีใครและดำรงตำแหน่งอะไรบ้าง เช่น Frank Sinatra เป็นประธานแก๊งค์, Judy Garland รองประธาน, Lauren Bacall แม่งานหรือฝ่ายดูแลจัดการ, Swifty Lazar เป็นเหรัญญิกและเลขา, ส่วนเจ้าของบ้านอย่าง Bogart เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาชิกคนอื่นๆ อาทิ David Niven, George Cukor, Cary Grant, Katharine Hepburn, Spencer Tracy, และ Rex Harrison แวะเวียนมาเรื่อยๆ เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วโบกี้เป็นหนักมากถึงขนาดเปิดบาร์ขึ้นมาเอง และเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงในขณะที่ร้านอื่นเขาไม่ทำกัน นอกจากนี้เขาเคยกล่าวไว้ว่ามีวันเดียวเท่านั้นที่เขาไม่ได้ดื่มและมันเป็นบ่ายที่แย่ที่สุดในชีวิตของเขาอีกด้วย


Errol Flynn


เออร์รอล ฟลินได้รับฉายยาว่าเป็นไอ้ตัวแสบแห่งวงการจอเงิน แบดบอยผู้นี้ไม่ได้แค่เป็นนักดื่ม แต่ยังติดทั้งโคเคนและเซ็กส์อีกด้วย วีรกรรมการดื่มสุราก็เป็นที่น่าจดจำอย่างมาก เริ่มตั้งแต่สมัยช่วงบุกเบิกในฮอลลิวู้ด เขาแชร์บ้านพักในเมืองริมทะเลย่าน Malibu กับ David Niven เพื่อนดาราอีกคน สองคนนี้มักชอบกินเหล้าและมีเซ็กส์กับผู้หญิงอยู่เป็นประจำ บ้านหลังนี้ยังได้ถูกเรียกเป็นชื่อน่ารักๆว่า”Cirrhosis-By-the-Sea” (ตับแข็งที่ริมทะเล) นอกจากนี้นักแสดงชายยังชอบจัดปาร์ตี้เซ็กส์ แอลกอฮอล์ และโคเคนอย่างบ้าระห่ำในเรือส่วนตัวอีกด้วย

นายใหญ่แห่ง Warner Bros เคยสั่งปิดบาร์และห้ามนำเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาในสตูดิโออีกเพราะเบื่อในพฤติกรรมของฟลินที่ชอบเมาแล้วทำงานต่อไม่ได้ แต่กระนั้นพ่อหนุ่มตัวแสบจึงเล่นกลับโดยการนำส้มมากินในกองถ่ายแทน ใครๆต่างคิดว่าเขากำลังลดหุ่นอยู่ หารู้ไม่ว่าเขาใช้เข็มฉีดยาฉีดว้อดก้าเข้าไปในส้มเรียบร้อยแล้ว

Olivia de Havilland เคยออกมาเล่าเรื่องแสบๆ ของฟลินให้เหล่าดาราชายที่ได้ร่วมงานกันจากภาพยนตร์เรื่อง The Swarm (1978) อาทิ Michael Caine, Henry Fonda, Ben Johnson, Slim Pickens และ Fred MacMurray บนโต๊ะอาหารกลางวันในสตูดิโอ Warner Bros. หลังจากที่เจ้าหล่อนได้ยินพวกเขาบ่นกันว่าทำไมไม่มีแอลกอฮอล์เสิร์ฟเลย เธอบอกว่าเป็นเพราะเออร์รอล ฟลินนี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้บอสสั่งแบนเครื่องดื่มสุรา แถมเขายังเคยเมาแล้วไปท้าพนันกับพนักงานในกองถ่ายเป็นจำนวน 500 ดอลอีกว่าจะฟันฉันให้ได้

Errol Flynn และ Olivia de Havilland

ฟลินเคยดื่มเหล้ากับคนดังอย่าง Fidel Castro อีกด้วย!! ซึ่งสมัยนั้นนักปฏิวัติชาวคิวบาคนนี้ยังหนุ่มๆอยู่เลย แล้วที่มันขำไปกว่านั้นคือ นักแสดงชายเคยพูดเกี่ยวกับ Castro ไว้ว่า ไอ้หนุ่มคนนี้ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ (แล้วมันก็เป็นจริง)

พฤติกรรมน่าเอือมระอาของเออร์รอล ฟลินไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเลย นักแสดงหน้าหล่อเคยล้มฟุบในลิฟต์ตอนอายุสามสิบต้นๆ หมอเตือนให้ระวังสุขภาพให้ดีเพราะทั้งหัวใจและปอดมีปัญหาแล้วนะ และถ้ายังไม่เลิกจะตายใน 5-6 ปีนี้ ฟลินผู้ดื้อด้านไม่เชื่อหมอ และดื่มหนักยิ่งกว่าเก่า อย่างไรก็ตามเขามีชีวิตอยู่ได้เกินกว่าที่หมอคาดการณ์ไว้สิบกว่าปี แต่อยู่ในร่างกายที่หมดสภาพ ดูแก่ หมดหล่อ ทั้งบวมทั้งอ้วน ซ้ำเป็นโรคตับแข็ง เออร์รอล ฟลินเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในขณะอายุ 50 ปี


John Barrymore


John คือนักแสดงในตำนานตั้งแต่หนังเงียบจนมาถึงยุคฮอลลิวู้ดบุกเบิก (ปู่ของ Drew Barrymore) จอห์นเป็นคนมีฝีมือแต่ภายหลังงานถดถอยเพราะวินัยในการดื่มที่น่ากลัวของเขา ซึ่งภายหลังถึงจะมีงานมาบ้างแต่ก็มักได้รับบทเป็นชายขี้เมา แถมเป็นชายขี้เมาที่น่าเห็นอกเห็นใจซึ่งขัดกับความเป็นจริงที่ว่าเขาคือไอ้ขี้เมา! ครั้งหนึ่งจอห์นเคยเมามากจนเคยเกือบหยิบน้ำหอมโคโลญของภรรยามาดื่ม แต่เจ้าหล่อนห้ามไว้ทัน

ต่อมาความบ้าของเขายิ่งเยอะขึ้น เมื่อต้องถ่ายทำหนังที่มีบทสนทนาที่ตัวเองไม่ชอบและปฏิเสธที่จะใช้การท่องจำแบบปกติ เพราะไม่อยากให้มันไปปะปนกับการอ่านบทกวีเอกชั้นครูอย่าง Shakespeare ดังนั้งเขาเลยหาวิธีนำบทสนทนาไปแปะไว้บนบอร์ดเพื่อใช้อ่านแทน แล้วเขาก็จำไม่ได้อยู่ดี

ในฉากการถ่ายทำมีบทพูดแค่คำเดียวว่า ‘Yes’ แต่ยังต้องให้ผู้ช่วยส่วนตัวถือป้ายโพยให้อ่าน?!! ทีมงานช่างไฟมาแจ้งผู้กำกับว่าผู้ช่วยของจอห์นยืนเกะกะกระทบพื้นที่ในการฉายไฟ ดังนั้นผู้กำกับจึงนักแสดงชายมาคุย, ขอให้เขาแสดงโดยไม่ต้องใช้โพยการ์ดได้ไหม แน่นอนอยู่แล้วว่า John ตอบว่า “ไม่ได้” ผู้กำกับถึงกับถอนหายใจแล้วบอกว่า เฮ้ยแต่แค่พูดคำว่า Yes เองนะ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมสั่งให้เพื่อนของคุณออกจากที่นี่ล่ะ จอห์นมองเขาอย่างเย็นชาแล้วตอบสั้นๆแค่ว่า “ผมอาจจะไม่อนุญาตครับ” และจบที่ว่าช่างไฟต้องจัดแสงในฉากใหม่หมดเลย


W.C. Fields


W.C. Fields เป็นดาราตลกชื่อดังคนหนึ่งของวงการ เขาเป็นเพื่อนซี้ของ John Barrymore คงไม่ต้องบอกว่าพฤติกรรมการแสบขนาดไหน เริ่มต้นที่ถือกระติกใส่จิน-มาร์ตินี่เข้ามากองถ่าย และอ้างว่าเป็นน้ำสับปะรด ดังนั้นเพื่อนร่วมงานจึงแกล้งจิ๊กกระติกเหล็กดังกล่าวแล้วเทเหล้าออก, ใส่น้ำสับปะรดกลับเข้าไปแทน พอเจ้าตัวรู้เข้าก็โกรธและลืมตัวโพล่งออกมาว่า “ไอ้หน้าด้านไหนมันเอาน้ำสับปะรดใส่ในน้ำสับปะรดของฉัน”

Fields มักชอบพูดจาโผลงต่อว่า Cecil B. DeMille ผู้กำกับและเพื่อนบ้านของเขาว่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ชอบทำหนังเกี่ยวกับคุณงามความดี แต่ในหนังทุกเรื่องชอบมีฉากผู้หญิงโชว์ขาและนอนในอ่างอาบน้ำหรูหรา ไม่อย่างนั้นก็เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์และความรุนแรง แต่พออยู่ในช่วงที่บรรยากาศดีก็ชอบสรรเสริญในความเก่งของเขา มีวันหนึ่งขณะที่เจ้าตัวกำลังเมาอยู่ เดอมิลล์มาเคาะประตูบ้านเพื่อมาแจ้งว่าแถวละแวกบ้านเราจะมีไฟดับ เขาแนะนำให้นักแสดงชายขี้เมาเตรียมน้ำสำรองไว้ให้เต็มอ่าง Fields ที่กำลังดื่มหนักอยู่เลยตอบไปว่า “โอ้ย ไม่เอาแบบฉากในหนังของแกแล้วกันไอ้เดอมิลล์” พร้อมทั้งปิดประตูใส่หน้าผู้กำกับ

W.C. Fields และ Mae West

ขณะถ่ายทำหนังเรื่อง My Little Chickadee (1940) ร่วมกับ Mae West, เจ้าแม่เซ็กส์ซิมโบว์รุ่นเก๋าขอให้เขาไม่ดื่มสุรา ตาแก่ผู้มากพิษสงตอบไปว่า “ไม่ต้องกังวลที่รัก ผมอยู่ในช่วงงดเหล้า” แต่จริงๆแล้วคือเขาไม่ดื่ม Gin เหล้าตัวประจำ แต่เปลี่ยนไปดื่มเหล้า Sherry แทน มีหรือว่าเมย์จะไม่รู้ว่าเขาเมาและก็ถูกจับได้ในที่สุด Fields ที่เมาเละก็ถูกหามตัวส่งกลับบ้านและถูกสั่งห้ามไปถ่ายหนัง ไม่เข็ดหลาบเขากลับมาดื่มเพิ่มที่สนามหญ้าในบริเวณบ้าน สักพักก็ไปเกิดอาการหลอนเห็นกลุ่มคนร้ายที่ไม่มีอยู่จริงแล้วไปหยิบปืนบีบีกันมายิงใส่จนข้าวของของเพื่อนบ้านเสียหาย เพื่อนบ้านบริเวณนั้นโกรธไม่พอใจจึงปาขวดวิสกี้เปล่ามาที่บริเวณหน้าบ้านเขาเต็มไปหมด Fields ไม่ยอมแพ้, เขาโต้ตอบกลับไปว่าเซซิล บี. เดอมิลล์ที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างหากที่เป็นคนทำ และมีอยู่คืนหนึ่งเขารวบรวมขวดเหล้าไว้ในถุงแล้วเดินไปที่หน้าบ้านของเดอมิลล์ และเขวี้ยงมันไปที่หน้าต่างบ้านของผู้กำกับพร้อมทั้งพูดว่า “เอามันไปซะ ไอ้หน้าซื่อใจคด”

ช่วงวัยหนุ่มของเขานั้น บ้านเมืองเข้าสู่ช่วงงดกินเหล้า Fields เลยต้องเก็บสะสมเหล้าแอลกอฮอล์ตุนเอาไว้หลายพันขวดใต้หลังคาบ้าน แต่พอช่วงงดเหล้าจบลง เขาก็ยังติดนิสัยเก็บตุนเอาไว้อยู่ดีและเขายังเคยบอกกับเพื่อนนักแสดงตลกอย่าง Harpo Marx อีกว่า “จะไปรู้แน่นอนได้ยังไงว่าไอ้ช่วงงดเหล้ามันจะไม่กลับมาอีกล่ะ ไอ้หนุ่มเอ้ย”


Richard Burton


Richard Burton หรือ ‘ดิ๊ก’ อดีตสามีของ Elizabeth Taylor นั้นก็แสบใช่เล่น เขาเริ่มดื่มสุราและเป็นทาสมันตั้งแต่อายุ 12 ปี ช่วงที่หนักที่สุดในชีวิตเขาซัดวอดก้า 3 ขวดต่อวัน

ยิ่งอยู่กับลิซยิ่งหนัก เขามักเริ่มเปิดเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยการดื่มเบียร์ตั้งแต่ 7 โมงเช้า เข้าช่วงสายก็จะต่อด้วยสุราหนักๆ ดื่มไปทั้งวันไปเรื่อยๆจนหมดสติ แล้วตื่นมาดื่มต่อ ส่วนภรรยาสาวจะหนักน้อยกว่าเขาตรงที่เจ้าหล่อนไม่ได้ติดสุราขนาดนั้น แต่ก็มักดื่มเป็นเพื่อนสามีโดยเริ่มราวๆหลังสิบโมงไปแล้ว

Liz & Dick

ตอนถ่ายทำหนังเรื่อง The Klansman (1974) ดิ๊กเมาจนแทบยืนไม่ได้ ดังนั้นในหนังจึงมีหลายฉากที่เขาเปลี่ยนมานั่งและนอนแทน แถมนอกกองเขายังเคยซดเตกีล่าจำนวน 21 ช็อต! ก่อนลงไปดำน้ำใต้ทะเลหลังได้ยินข่าวรายงานว่ามีฉลามว่ายวนเวียน

อาการของดิ๊กเริ่มทรุดลงอย่างหนัก ไตสองข้างเริ่มผิดรูปผิดร่างและไขสันหลังมีปัญหา แพทย์เคยเตือนเขาไว้ในปี 1970 ให้หยุดดื่มเสีย แต่เขาไม่ฟังหมอและเสียชีวิตในวัย 58 ปีหรืออีกสิบกว่าปีถัดมาจากพิษสุราเรื้อรัง


Ann-Margret


แอน-มาร์เกร็ต มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางตอนแสดง Viva Las Vegas (1964) ร่วมกับ Elvis Presley ซึ่งทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดจนฝ่ายชายเสียชีวิต ช่วงนั้นเธอคือสาวนักปาร์ตี้! ซึ่งที่จริงเจ้าหล่อนหันมาดื่มแอลกอฮอล์เพื่อผ่อนคลายความกังวลที่ต้องแสดงฉากวาบหวิวในตอนสมัยเรียน

ในปี 1971 แอน-มาร์เกร็ตออกมาเปิดเผยว่าเธอไม่สามารถแยกระหว่างแฟนตาซีและความเป็นจริงออกได้ และยังบอกอีกว่าเธอดื่ม scotch 5 แก้ว สลบแล้วก็ตื่น ดื่มใหม่ และก็สลบไปอีก

อย่างไรก็ตามแอน-มาร์เกร็ตเลิกดื่มได้ในอีก 9 ปีถัดมา โดยเปิดเผยในหนังสือชีวประวัติของเธอเอง อีกเหตุการณ์หนึ่งในปี 1982 ระหว่างเธอกำลังให้สัมภาษณ์กับ Roger Ebert นักวิจารณ์หนังชื่อดัง บ๋อยก็มาเสิรฟ์ cocktail ให้เธอ เจ้าหล่อนจึงตอบไปว่า “ฉันไม่ดื่มแล้ว แต่ฉันยัง hootchie-koo อยู่นะ” (น่าจะแปลว่ายังสนุกเฮฮาปาร์ตี้ได้อยู่”)


Lee Marvin


Lee Marvin นักแสดงชายแห่งหนังแนว Western ก็เป็นอีกรายที่ขี้เมาช่วงถ่ายทำหนังเรื่อง Cat Ballou (1965) เขาดื่มเหล้าอย่างหนักเพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดในการแสดง แต่กระนั้นก็สร้างวีรกรรมแสบๆไว้เช่นกัน โดยระหว่างการเดินทางไปสถานที่ถ่ายทำใน Colorado จู่ๆมาร์วินก็ทำให้เหล่าเพื่อนนักแสดงตกใจกลัวด้วยการชักปืน colt 45 ออกมาแล้วยิงออกไปนอกหน้าต่าง แถมโอ้อวดด้วยความภูมิใจหลังจากยิงวัวได้

มีอยู่คืนหนึ่งเขาให้คำแนะนำในการแต่งงานด้วยน้ำเสียงเมามายทั้งที่ๆตัวเองกำลังจะไปหย่าอยู่แท้ๆ และเหตุการณ์ที่ติงต๊องที่สุดของเขาคือหลังจากได้รางวัลออสการ์มาร์วินซื้อบ้านใหม่ใน Beverly Hills แต่ด้วยความเมาเขาจำทางไปไม่ได้เลยต้องซื้อแผนที่หาบ้านตัวเอง

.


Spencer Tracy


สเปนเซอร์ เทรซีเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนักดื่มพันธุ์ดุ พอเมาแล้วก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ชอบใช้ความรุนแรง มักมีเรื่องชกต่อยอยู่ในบาร์หลายต่อหลายครั้ง เคยถูกตำรวจจับ และรวมไปถึงเคยตื่นมาในคุกของคนไร้บ้านในชิคาโก้ Tracy เกลียดการนั่งเครื่องบินและหันไปเลือกนั่งรถไฟแทน โดยไปไหนมาไหนกับกระเป๋าเดินทางที่มักพกสุราติดตัวตลอด

อย่างไรเสียก็มีช่วงที่นักแสดงผู้มากความสามารถนี้อยู่ในช่วงงดดื่มเหมือนกัน โดยแคทารีน เฮปเบิร์นเพื่อนนักแสดงคนสนิทออกมาพูดเองเลยว่าเขาสามารถหยุดดื่มได้ในระยะหลายเดือน หลายปี หรือในช่วงเวลาระยะหนึ่งได้เลยแหละ แต่ถ้าออกจากจำศีลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็เรียกได้ว่าหนักหนาเอาการทีเดียว เทรซีเคยหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักที่โรงแรมเป็นอาทิตย์ และมักชอบนั่งแช่ดื่มเหล้าอยู่ในอ่างอาบน้ำโดยที่เขาไม่แม้กระทั่งจะลุกออกไปใช้โถส้วมเลย

Spencer Tracy และ Katharine Hepburn

ครั้งหนึ่ง Fox ต้นสังกัดได้ออกปากยื่นคำขาดกับเจ้าตัวเลยว่าให้เขาเลิกดื่มแอลกอฮอล์เสียมิเช่นนั้นจะโดนไล่ออก เทรซีไม่สะทกสะท้านเดินออกนอกออฟฟิศและตรงไปที่บาร์ของอีกฝั่งถนน…ดื่มอย่างหนักแล้วกลับมาแสดงหนังต่อและทำออกมาได้สุดยอดซะด้วย

ต่อมาเทรซีไม่ได้ไปรายงานตัวในช่วงที่ถ่ายทำหนัง Marie Galante ในปี 1934 เนื่องจากเมามายไร้สติอยู่ในห้องโรงแรมซึ่งได้ดื่มติดต่อกันมาเป็นเวลาสองอาทิตย์แล้ว สุดท้ายเจ้าตัวถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ค่าย Fox ทำโทษเทรซีโดยงดให้เงินเดือนและฟ้องศาลเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน $125,000 สำหรับทำให้งานล่าช้า นักแสดงขี้เมาผู้นี้ทำงานให้ Fox อีกเพียงสองเรื่องเท่านั้น

หลังจาก MGM รับเซ้งต่อ ก็มีเจ้าหน้าที่ตามประกบดูแลเขาทุกฝีก้าวโดยใช้ชื่อกลุ่มปฏิบัติการนี้ว่า “The Tracy Squad” หรือแก๊งค์เพื่อนเทรซี ทุกบาร์ใน 25 ไมล์จะถูกเรียกเป็นหมายเลขแทน และทุกครั้งที่หมายเลขถูกขานออกมาก็จะมีหมอและยามรักษาความปลอดภัยไปหามร่างไร้สติของเทรซีออกจากพื้นที่ แล้วค่อยพาไปที่ที่ปลอดจากสายตาสาธารณะเพื่อทำให้เขาสร่างเมา

.


Robert Mitchum


โรเบิร์ต มิตชึมนักแสดงแห่งหนังนัวร์ผู้ซึ่งเมาแล้วอารมณ์รุนแรงตลอด ชอบก่อความวุ่นวาย เขามีชื่อเสียพอๆกับชื่อเสียงเลยทีเดียว มิตชึมเคยต้องไปนอนในคุกหลังจากทำร้ายเหยื่อสลบ และในสายตาของตำรวจเขาคือไอ้ดาราบ้าปาร์ตี้

ระหว่างถ่ายทำหนังเรื่อง His Kind of Woman (1951) มิตชึมที่กำลังเมากึ่มๆ ต้องเข้าฉากปะทะกับฝ่ายตัวโกง ซึ่งพอกล้องเดินแล้วแต่เขาดันลืมว่าตัวเองกำลังแสดงอยู่จึงหยิบขวดเหล้าฟาดไปที่ที่หนึ่ง แล้วก็เริ่มอาละวาดใช้กำลังใส่เหล่าสตั๊นท์แมน ฝั่งที่ถูกกระทำทนไม่ไหว และเหตุทะเลาะวิวาทที่เป็นแค่เหตุการณ์สมมุติก็กลายเป็นเหตุการณ์อลหม่านที่เกินกว่าจะควบคุมได้

ความเมามายของเขาไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อตอนถ่ายทำหนังเรื่อง Heaven Knows, Mr. Allison (1957) ณ ทะเลใต้ในเกาะโทบาโก จอห์น ฮัสตันส่งผู้ช่วยผู้กำกับไปตามมิตชึมที่เต็นท์นักแสดงให้มาเข้าฉาก แต่ทว่าผู้กำกับคนเก่งต้องรอถึง 4 ชั่วโมงกว่าเจ้าตัวจะมา เมื่อเขามาถึงสถานที่ถ่ายทำก็แจ้งต่อฮัสตันว่าเขากับผู้ช่วยผู้กำกับได้ดื่มเหล้า scotch และอยู่ในอาการเมามาย ฮัสตันยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร บ๊อบบี้ เรามาเริ่มถ่ายฉากที่ตัวละครของคุณกำลังนอนไร้สติลอยคออยู่บนแพที่กำลังพัดเข้าเกาะกันเถอะ” มิตชึมใช้เวลาถ่ายทำอีก 4 ชั่วโมงด้วยความทรมานกลางแดดกลางลม ในขณะที่ฮัสตันนั่งในที่ร่มอย่างสบายและสั่ง retake retake retake หลังจากนั้นบ๊อบบี้ของเราก็ไม่เคยมาสายอีกเลย


*บ๊อบบี้ คือชื่อเล่นย่อมาจากโรเบิร์ต*


Peter O’Toole


ปีเตอร์ โอทูลเป็นหนึ่งในนักดื่มที่มีเรื่องราวออกจะเฮฮา และตลก ถึงแม้ในจอจะดูซีเรียสจริงจัง แต่นอกจอนี่เป็นสนุกสนานคนหนึ่งเลย เขาติดแอลกอฮอล์มาตั้งแต่วัยที่เป็นนักเรียนการแสดง ซึ่ง ณ ขณะนั้นอาศัยอยู่ในเรือบาร์จ ครั้งหนึ่งเขาเคยชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน และผลสุดท้ายจบลงด้วยที่บ้านจมน้ำเพราะสมาชิกในงานมากเกินไป

พีทกับภรรยา (Sian Phillips) เฉลิมฉลองงานแต่งของพวกเขาอย่างสุดเก๋ โดยการจัดเป็นกิจกรรมแบบ Pub Crawl หรือการเข้าผับบาร์หลายที่ในคืนเดียวโดยดื่มอย่างละแก้วแล้วไปที่ร้านอื่นต่อ ภายหลังฝ่ายภรรยาคลอดลูก พีทพาเหล่าแก๊งค์เพื่อนนักแสดงที่กำลังเมามายมายืนเป็นแถวยาว พวกเขามาร้องประสานเสียงดีใจลั่นโรงพยาบาล

Peter O’Toole และภรรยา Sian Phillips

ทั้งพีทกับดิ๊กเป็นสองเพื่อนซี้นักแสดงที่ชอบไปดื่มเหล้ากันอยู่เป็นประจำ ตอนถ่ายทำหนังเรื่อง Beckett (1964) ทั้งคู่เมาแทบตลอดเวลาในช่วงทำงาน อย่างไรก็ตามด้วยความอัฉริยะสามารถพวกเขาเข้าชิงออสการ์ทั้งคู่ ดูเหมือนอะไรจะดีไปหมดแต่มันติดอยู่ที่ว่าฝ่ายแรกเนี่ยเป็นเลือดไอริชแท้รู้สึกเจ็บใจที่ดิ๊กชาวเวลส์กลับมีชื่อเสียงเรื่องการดื่มมากกว่า พอเลิกกองเขาจึงชวนเพื่อนนักดื่มไปผับเพื่อท้าดวลแอลกอฮอล์ ฝ่ายดิ๊กให้พีทดื่มก่อน พีทไม่รีรอยกซดมันทั้งขวดวิสกี้ แล้วก็เชิญชวนให้ดิ๊กดื่มต่อเลย…แต่ก่อนที่การแข่งขันท้าดวลจะเปิดศึกแบบจริงจัง จู่ๆพีทดันพลาดท่านอนสลบไร้สติบนพื้นไปเสียแล้ว ดิ๊กก้าวเท้าออกมา สั่งเครื่องดื่มและเฉลิมฉลองชัยชนะอย่างเป็นทางการ

พีทและดิ๊ก Peter O’Toole & Richard Burton

พฤติกรรมการเมาของเขาบางทีก็น่ากลัวปนตลกเหมือนกัน เพราะเคยเมาสลบและตื่นมาอีกที่หนึ่ง เช่นที่เม็กซิโก, Isle of Corsica (ฝรั่งเศส) หรือในอพาร์ทเม้นคนแปลกหน้าร่วมกับไมเคิล เคน ซึ่งสองวันก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้ไปดินเนอร์หลังจากทำงานเสร็จ และเหตุการณ์ต่อจากนั้นทั้งสองจำอะไรไม่ได้เลย แถมพวกเขาก็ยังโดนแบนจากร้านอาหารหนึ่งตลอดชีวิต เคนอยากรู้มากว่าเพราะอะไร แต่พ่อพีทตอบปัดไปว่า “อย่าถามว่าทำอะไร ไม่รู้จะดีกว่า”

กลางดึกคืนหนึ่งในประเทศ Ireland เขาและ Peter Finch เคยปากพล่อยจะขอซื้อผับต่อจากเจ้าของร้านหลังเลยเวลาทำการ โดยยินดีจ่ายเป็นสองเท่าหากให้พวกเขาดื่มต่อ สัญญาถูกทำขึ้นมาแบบลวกๆบนกระดาษทิชชู่ และพอวันรุ่งขึ้นพวกเขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรไปบ้าง จึงรีบดั้นด้นกลับไปหาเจ้าของร้านเมื่อคืนเพื่อขอโทษและยกเลิกการซื้อขาย ซึ่งเจ้าของบาร์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากพร้อมฉีกเอกสารทิชชู่นั้นทิ้ง สองปีเตอร์โล่งอกและรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก จากนั้นเป็นเวลากว่าสองทศวรรษที่พวกเขากลายมาเป็นลูกค้าประจำร้าน พวกเขามักหาเวลามาดื่มที่นี่หากไม่มีงาน…จนถึงเจ้าของเสียชีวิตลง O’Toole และ Finch ได้ดื่มไปสองสามแก้วก่อนมางานศพเจ้าของบาร์ด้วยอาการ ในงานพวกเขาได้กล่าวคำสรรเสริญเยินยอ ซึ่งประทับใจเป็นอย่างมากจนแขกในงานน้ำตาไหล แต่แล้วพวกเขาก็ตกใจอย่างหนักเพราะมาผิดงาน

มีเรื่องที่พีคกว่านี้อีก! ด้วยอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง The Lion in Winter ทำให้ปลายนิ้วของเขาถูกตัดขาด พีทจึงเอาชิ้นส่วนนั้นไปจุ่มบรั่นดีแล้วนำมาต่อกลับเข้าที่เดิมแล้วใช้ผ้าพันแผลพันไว้อีกที หลายอาทิตย์ผ่านไปเขาเริ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วอยู่ ดังนั้นเขาเลยแกะผ้าพันแผลออก ภาพตรงหน้ามันเซอร์ไพรส์เขาอย่างสุดขีดเมื่อเขารับรู้ว่านิ้วของเขาต่อติดกันเหมือนเดิม แต่…ดันติดมันสลับข้างกัน อย่างไรก็ตามโชคดีที่ภายหลังพีทสามารถเลิกสุราเพื่อสุขภาพร่างกาย