James Stewart – เจมส์ สจวร์ต


James Stewart หรือ Jimmy Stewart เป็นนักแสดงชาวอเมริกันที่โด่งดังและเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญมากๆสำหรับวงการหนังฮอลลิวู้ด หนังของเขามักประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์อยู่เรื่อยๆ การลากเสียงเฉื่อยๆ และบุคคลิกดูเข้าถึงง่ายคือเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งนั่นทำให้เขามักได้รับเล่นหนังประเภทแบบชาวอเมริกันชนชั้นกลางที่มักประสบปัญหา 


ชีวิตก่อนการเป็นนักแสดง

เจมส์ สจวร์ต มีเชื้อสายสก็อตติช และเป็นบุตรชายคนโตของบ้านพ่วงด้วยน้องสาวอีกสองคน ฝันในวัยเด็กของเขาคือการรับกิจการต่อจากบิดาซึ่งเป็นร้านเคหะภัณฑ์ อันเป็นมรดกครอบครัวเปิดมาถึงสามชั่วอายุคนแล้ว ส่วนแม่ของเขาเป็นนักเปียนโนที่เก่งมากคนหนึ่งและครอบครัวของเองเขานั้นก็รักในเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น Jimmy ได้เข้าโรงเรียนเตรียมแห่งหนึ่งซึ่งที่นั่นเขาได้ร่วมกิจกรรมนาๆต่างๆ อาทิ กีฬาฟุตบอล, ทำหนังสือรุ่น, ชมรมร้องประสานเสียง และชมรมวรรณกรรม ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเขามักเดินทางกลับบ้านเพื่อไปรับจ้างเป็นพนักงานก่อสร้างหรือไปเขียนเส้นแบ่งเลนรถ และยิ่งไปกว่านั้นเขาเคยไปเป็นผู้ช่วยให้กับนักมายากลมืออาชีพอีกด้วย

โดยพื้นฐานนั้นเขาเป็นคนขี้อายเลยมักชอบเก็บตัวอยู่ชั้นใต้ดินเพื่อทำกิจกรรม ที่เขาชื่นชอบ อาทิ ทำโมเดลเครื่องบิน, เขียนแปลนออกแบบเชิงกล (mechanical drawing) ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนักบิน Charles Lindbergh ผู้ออกแบบเครื่องบินและออกบินเดี่ยวข้ามทวีปสร้างสถิติสุดตะลึงในปี 1927 เหตุการ์ณครั้นนั้นทำให้เขาอยากจะออกบินสู่ท้องฟ้าบ้าง ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกหรืออะไรเพราะในอีกสามทศวรรษข้างหน้า เขาได้สวมบทไอดอลนักบินผู้นี้ในหนังเรื่อง The Spirit of St.Louis (1957)

นักแสดงละครเวที

Jimmy และ Henry Fonda

Jimmy เข้ามหาลัยที่ Princeton University คณะสถาปัตยกรรม ในปี 1928 โดยละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักบินเนื่องจากพ่อไม่สนับสนุน ถึงกระนั้นผลการเรียนของเขานั้นถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมอย่างมาก โดยงานจบของเขาคือการดีไซน์สนามบินนั้น เป็นที่ประทับใจแก่อาจารย์อย่างมากจนได้รับทุนการศึกษาเป็นรางวัล อย่างไรเสียเขากลับหันไปสนใจงานด้านแสดงมากกว่าโดยเขาได้เข้าร่วมชมรมการแสดงของมหาลัย และทำได้ดีมากเสียด้วยจนไปเตะตาบริษัทคณะละคร University Players เข้าเลยชักชวนเข้าไปร่วมแก๊งค์  

กลุ่ม University Players ทำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนสนิทในอนาคต Henry Fonda และ Margaret Sullavan ภรรยาที่กำลังจะเลิกราของเขา ซึ่งพอทั้งคู่จัดการเรื่องการหย่าร้างสำเร็จ Jimmy และ Fonda ได้แชร์ห้องอพาร์มเม้นร่วมกันต่อ ต่อมาทั้งกลุ่มเดินทางเข้า New York เพื่อหางานอาชีพละครเวที ช่วงชีวิตในงานแสดงละครเวทีของเขานั้นไปได้ระดับปานกลางและเริ่มแย่ลงเรื่อยๆเมื่อบรอร์ดเวย์ทั้งหลายถูกเปลี่ยนเป็น movie houses งานหดลงไปเรื่อยๆ แต่โชคยังดีที่ในขณะนั้น Jimmy ยังได้เล่นบทบาทเด่นๆสำคัญๆจากหลายเรื่องอยู่บ้างและมันคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เขายังเลือกที่จะหากินกับอาชีพนักแสดง 

เข้าสู่วงการฮอลลิวู้ด

ภายหลังจากที่ Henry Fonda ได้เข้าฮอลลิวู้ดหลังจากวาดลวดลายการแสดงเรื่อง The Farmer Takes a Wife (1935) เขาจึงได้ชักชวนให้ Jimmy ไปลองทำสกรีนเทสที่ MGM ดูหลังจากที่มีแมวมองของค่ายดังกล่าวติดต่อมาหาเจ้าตัว สรุปเขาได้เซ็นสัญญากับ MGM ในเมษายนปี 1935 เป็นเวลาเจ็ดปี โดยมีรายได้ $350 ต่ออาทิตย์

หลังจากเดินทางเข้า LA เขาได้แสดงหนังเรื่องแรก The Murder Man (1935) ร่วมกับ Spencer Tracy แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ Rose Marie (1936) ในเรื่องที่สองก็มีแนวโน้มว่าจะไปในทางที่ดีขึ้น ต่อมาเขาได้เล่นหนังที่ได้รับบทที่แสดงออกทางอารมณ์มากขึ้น เช่น After the Thin Man (1936) และ Wife vs. Secretary (1936) ซึ่งในเรื่องนี้ เขารับบทเป็นแฟนหนุ่มจอมท้อแท้ของตัวละครที่ Jean Harlow รับบท

ความสามารถเขาเริ่มฉายแววออกมาหลังจากได้กลับมาร่วมงานกับ Margaret Sullavan ใน Next Time We Love (1936) เจ้าหล่อนแนะนำให้นักแสดงหนุ่มเป็นตัวของตัวเองในลักษณะแบบนี้ที่ไม่เหมือนใคร รักษาเสน่ห์แบบเด็กๆเป็นธรรมชาติเอาไว้ล่ะดีที่สุดแล้ว และกลายเป็นว่า ณ ตอนนั้นเขามีความสุขกับการทำงานมากๆ ขนาดทำงานถึง 6 วันให้กับต้นสังกัดก็ยังแฮปปี้ดีอยู่ Leland Hayward สามีของ Magaret Sullavan แนะนำให้ลองไปร่วมงานกับสตูดิโออื่นดูด้วย โดยไปแบบยืมตัว 

เข้าปี 1938 เขาได้ร่วมงานกับ Frank Capra ผู้กำกับมือทองจากการถูกยืมตัวไปแสดงให้กับค่าย Columbia Pictures ในรอมคอมน่ารัก You Can’t Take It With You ซึ่งแต่เดิมที Capra นั้นประทับใจในการแสดงบทบาทสมทบของนักแสดงหนุ่มจากเรื่อง Navy Blue and Gold (1937) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขามองเห็นว่า Jimmy นั้นเหมาะสมกับบทบาทนี้มากกว่าใคร และตัวนักแสดงหนุ่มเองก็เข้าใจบทบาทที่ได้รับเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ต้องกำกับมากนัก Capra เคยเอ่ยชมเขาว่าเป็นนักแสดงชายที่เจ๋งมากๆ เท่าที่เคยมีมาเลย แต่กลับกันคุณพ่อของเขาพยายามกล่อมให้เจ้าตัวลาออกจากวงการ…กลับมาบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตแบบสมถะ 

Jimmy และ Margaret Sullavan

ต่อมา Jimmy หันไปเล่นหนังคาวบอยบ้างในภาพยนตร์เรื่อง Destry Rides Again (1939) ร่วมกับ Marlene Dietrich ตามมาด้วยปีถัดมาในเรื่อง The Philadelphia Story (1940) โดยประกบกับดาราแถวหน้าอย่าง Cary Grant และ Katharine Hepburn จากเรื่องนี้ Jimmy คว้าออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครอบครอง โดยเบียดชนะเพื่อนสนิทอย่าง Henry Fonda จากเรื่อง The Grapes of Wrath ไป เขามอบรางวัลนี้ให้แก่พ่อเขานำไปประดับในตู้โชว์หน้าร้านกิจการของครอบครัว

หันหน้าเข้าสู่หนังสาย Western และการร่วมงานกับ Alfred Hitchcock

เข้าสู่ยุค 1950’s งานแสดงของ Jimmy เริ่มเปลี่ยนเข้าสู่แนวคาวบอย โดยได้ผู้กำกับคู่บุญ Anthony Mann เริ่มจาก Winchester ’73 (1950) ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ กระนั้น Jimmy ไม่ได้ค่าตัวแต่เป็นผลตอบแทนจากเปอร์เซ็นต์กำไรของหนังแทนซึ่งมีมูลค่าถึง $600,000 เหตุผลเนื่องมาจากค่าย Universal Studios ต้องการให้เขารับเล่นทั้ง Winchester ’73 และ Harvey แต่ก็ลังเลที่จะจ่ายค่าตัวเขาจำนวน $200,000 เอเยนต์ของเขาจึงต่อรองเป็นการไม่รับค่าตัว แต่ขอรายได้จากเปอร์เซ็นต์กำไรแทน และนั่นเป็นแนวทางใหม่แก่ดาราคนอื่นที่จะต่อรองทำธุรกิจ และการต่อรองแบบนี้เป็นการทำลายระบบสตูดิโอลงในภายหลัง

บทบาทที่เขามักได้รับในหนังคาวบอย อาทิ  Bend of the River (1952), The Naked Spur (1953), The Far Country (1954) หรือ The Man from Laramie (1955) มักจะเป็นบทประเภทคาวบอยที่เจอปัญหาไม่ว่าจะเป็นการเจอกับเหล่าผู้ร้ายที่ยึดครองเมือง หรือตัวร้ายนอกรีต เขาต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ซึ่งหนังเหล่านี้ขโมยใจเหล่าคนดูไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น กลายเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง ซึ่งลักษณะการแสดงหรือบุคคลิกของเขาที่เปลี่ยนไปจากยุคก่อนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ น่าค้นหาและดูใจร้อนมากขึ้น 

​นอกจากหนังแนวตะวันตกแล้ว Jimmy ยังได้หันมาเล่นหนังแนวระทึกขวัญของ Alfred Hitchcock อีกด้วย เริ่มจาก Rope (1948) ที่ถ่ายเป็น Long Shots, ตามมาด้วย Rear Window (1954) ซึ่งทั้งเรื่องเขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ดังนั้นการแสดงของเขาจึงออกมาได้แค่ใบหน้าและท่อนบนเท่านั้น กลายเป็นว่า Jimmy ได้โชว์ความสามารถในการแสดงออกมาได้เด่นชัดมากขึ้นไปอีก แถมในปีนั้นเขายังเป็นนักแสดงที่โกยรายได้มากที่สุดและมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด…แทนที่ John Wayne เลยก็ว่าได้ ต่อมาเป็นหนังรีเมคของ Hitchcock ในเรื่อง The Man Who Knew Too Much (1956) และจบด้วย Vertigo (1958) ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิคไปแล้วสำหรับตอนนี้ อย่างไรก็ตามในยุคนั้นหนังกลับไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนปัจจุบัน รายได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร และเป็นการร่วมงานครั้งสุดท้านระหว่างเขากับ Hitchcock นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Hitchcock โทษตัวหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องมาจาก Stewart ดูแก่เกินไปที่จะเป็นคนรักของ Kim Novak อีกทั้งตัวผู้กำกับกับเองก็ผิดสัญญาที่เคยบอกว่าจะให้ Stewart มารับบท Roger Thornhill ใน North by Northwest (1959) ในหนังเรื่องต่อไปของเขา ซึ่งอันที่จริง Jimmy เองก็อยากเล่นบทนี้เอามากๆ แต่ Cary Grant กับเป็นผู้ถูกเลือกแทน ทั้งๆที่ Grant เองก็มีอายุมากกว่าเขาตั้งสี่ปี หรืออาจะเป็นเพราะตัว Grant เองมีลุคที่ดูอ่อนกว่าเขาหรือเปล่า ภายในปีเดียวกันกับที่ North by Northwest ได้ออกฉายและประสบความสำเร็จ Jimmy ก็มารับเล่นหนัง Anatomy of a Murder (1959) ซึ่งประสบความสำเร็จเช่นกัน และเขาก็ได้เข้าชิงออสการ์ดารานำชายเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ชวดรางวัลนี้ไป ซึ่งตกไปเป็นของ Charlton Heston จาก Ben-Hur

​ในช่วง 1960’s Jimmy ได้ร่วมงานกับผู้กำกับหนังคาวบอยในตำนานอย่าง John Ford ถึงสามเรื่องอาทิ Two Rode Together (1961), The Man Who Shot Liberty Valance (1962) ซึ่งเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างเขากับ John Wayne เป็นหนังแนวคาวบอยจิตวิทยา ถ่ายทำฟิลม์ขาวดำในฉบับฟิล์มนัวร์, How the West Was Won (1962) มีเครดิตว่า Ford กำกับแต่เป็นแค่การกำกับร่วม เขาไม่ได้ทำงานร่วมกับ Stewart แต่อย่างใด หนังเรื่องสุดท้ายที่ร่วมกับ Ford คือ Cheyenne Autumn (1964) ซึ่งเป็นการถ่ายทำหนังเป็นที่ค่อนข้างยุ่งยากมาก เพราะว่าถ่ายถึงสามกล้องและฉายบนจอภาพยนตร์สามจอในครั้นเดียวกัน

ด้วยสายเลือดนักบิน Jimmy เองก็เล่นหนังเกี่ยวกับการบินเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงปี 1950-60’s อาทิ  No Highway in the Sky (1951), Strategic Air Command (1955), The Spirit of St. Louis (1957), หรือ The Flight of the Phoenix (1965) และเขายังได้แต่งบทหนังเรื่อง X-15 ในปี 1961 แต่ไม่ได้รับเครดิต นอกจากนี้แล้วเขายังเปลี่ยนแนวมารับเล่นหนังแนวครอบครัวด้วย หลังจากเซ็นต์สัญญาให้กับค่าย 20th Century Fox อาทิ Mr. Hobbs Takes a Vacation (1962), Take Her, She’s Mine (1963) และ Dear Brigitte (1965)

ผลงานช่วงสุดท้ายของอาชีพนักแสดง

พอเข้าช่วงปี 1970’s เขาเริ่มพักงานภาพยนตร์และมุ่งหน้าสู่หน้าจอทีวีแทน โดยได้เล่นให้กับ NBC แนวคอมเมอร์ดี้ The Jimmy Stewart Show, CBS แนวลึกลับ Hawkin บทบาทจะคล้ายๆกับ Anatomy of a Murder (1959) ซึ่งเขาได้รับรางวัล Golden Globe นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากทีวีซีรีย์ดราม่า นอกจากนี้เขายังไปออกรายการ The Tonight Show ของ Johnny Carson ซึ่งเขาก็ได้มาแชร์บทกลอนที่เขาแต่งขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต และภายหลังกลอนดังกล่าวถูกรวบรวมเป็นคอลเลคชั่นส์หนังสือ ‘Jimmy Stewart and His Poems’ ในปี 1989

Jimmy กลับมาเล่นหนังอีกครั้งหลังจากห่างหายจากวงการไปห้าปี โดยเริ่มจากรับบทรองร่วมกับ John Wayne ในเรื่อง The Shootist (1976) ซึ่งเป็นหนังสุดท้ายของ The Duke หนังอื่นๆของ Jimmy ในฐานะนักแสดงสมทบอาทิ Airport ’77 (1977), The Big Sleep (1978) ในเวอร์ชั่นรีเมคใหม่และ The Magic of Lassie (1978) ซึ่งหนังทั้งสามเรื่องได้รับคำวิจารณ์ในทางลบและยิ่งเรื่องหลังสุดนี่ไม่ประสบความเร็จตั้งแต่ออกฉายแล้ว ช่วงปี 1980-90s Jimmy มีงานพากย์โฆษณาให้กับ Campbell’s Soups ด้วย และงานชิ้นสุดท้ายของนักแสดงขวัญใจมหาชนคืองานพากย์เสียงตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง An American Tail: Fievel Goes West ในปี 1991 

ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว 

จิมมี่เคยคบหากับนักแสดงสาวชื่อดังหลายคน อาทิ Ginger Rogers, Marlene Dietrich, Loretta Young, และ Olivia de Havilland ที่เกือบจะแต่งงานกันแล้ว แต่สุดท้ายก็มาลงเอยที่ Gloria Hatrick McLean อดีตนางแบบ พวกเขาลั่นระฆังวิวาห์ในปี 1949 อยู่ด้วยกันยาวนานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอในปี 1994 เขารับลูกชายสองคนของ Gloria เป็นบุตรบุญธรรม และมีลูกที่เกิดกับเขาเองเป็นลูกแฝดสาวในอีกสองปีถัดมา

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น Jimmy สนิทกับ Henry Fonda ทั้งสองมีมิตรภาพที่ดีต่อกันเป็นเวลายาวนาน ลูกๆของทั้งสองฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพ่อๆของเขาชอบใช้เวลาว่างด้วยกันในการทำโมเดลเครื่องบิน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่พวกเขาเคยทำร่วมกันสมัยแต่ก่อนที่ยังอยู่นิวยอร์ค ทั้งสองมีมุมมองทางการเมืองที่ต่างกัน แต่เลือกที่จะไม่สนทนาหัวข้อนี้จะได้ไม่เกิดปัญหาผิดใจกัน

Jimmy และครอบครัว

Stewart ลาจากโลกนี้ไปด้วยวัย 89 ปีในปี 1997 ที่บ้านของเขาเองที่ Beverly Hills  ก่อนหมดลมหายใจสุดท้ายเขาได้กล่าวไว้ว่า “ผมกำลังจะไปอยู่กับ Gloria แล้ว” ตลอดชีวิตการทำงานของเขา Stewart ได้เข้าชิงออสการ์จำนวน 5 ครั้ง แต่ชนะมาเพียงแค่ครั้งเดียวจากเรื่อง The Philadelphia Story (1940) และอีก 45 ปีต่อมาได้รับรางวัลเกียรติยศความสำเร็จในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จากออสการ์ (1985) AFI หรือ The American Film Institute จัดอันดับให้เขาเป็นดาราชายคลาสสิคยุคทองฮอลลิวู้ด อันดับที่ 3


แนะนำหนังเพิ่มเติมของ James Stewart


รีวิวหนังของ James Stewart


James Stewart ในบทความต่างๆ