Top 15 Films of James Stewart

JAMES STEWART

line3

.

James Stewart หรือ Jimmy Stewart เป็นนักแสดงชาวอเมริกันที่โด่งดังและเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญมากๆสำหรับวงการหนังฮอลลิวู้ด หนังของเขามักประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์อยู่เรื่อยๆ การลากเสียงเฉื่อยๆ และบุคคลิกดูเข้าถึงง่ายคือเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งนั่นทำให้เขามักได้รับเล่นหนังประเภทแบบชาวอเมริกันชนชั้นกลางที่มักประสบปัญหา 

Cary Grant เคยกล่าวชม Jimmy Stwart ในการแสดงของเขาไว้ว่า

 “He had the ability to talk naturally. He knew that in conversations people do often interrupt one another and it’s not always so easy to get a thought out. It took a little time for the sound men to get used to him, but he had an enormous impact. And then, some years later, Marlon came out and did the same thing all over again—but what people forget is that Jimmy did it first.

“เขามีความสามารถในการพูดในแบบที่เป็นธรรมชาติ เขารู้ว่าการพูดสนทนานั้น มนุษย์เรามักจะมีการพูดแทรกอีกฝ่ายอยู่แล้ว และมันก็มักจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่จะคิดอะไรแบบนี้ได้ ซึ่งมันก็ใช้เวลามากสำหรับคนทำเสียงที่จะคุ้นเคยกับการทำงานของเขา และเขาก็เป็นแรงกระตุ้นให้กับดารารุ่นหลังๆ ดูอย่าง Marlon สิ ที่ใช้วิถีการแสดงเหมือนกับเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง  แต่คนก็มักจะลืมว่า Jimmy เป็นคนทำก่อน”

.

ชีวิตในวัยแรกและวัยเรียน

Stewart มีเชื้อสายจากชาวสก๊อตติช และเป็นบุตรชายคนโตของบ้านพ่วงด้วยน้องสาวอีกสองคน ฝันในวัยเด็กของเขาคือการรับกิจการต่อจากบิดาซึ่งเป็นร้านเคหะภัณฑ์ อันเป็นมรดกครอบครัวเปิดมาถึงสามชั่วอายุคนแล้ว ส่วนแม่ของเขาเป็นนักเปียนโนที่เก่งมากคนหนึ่ง ครอบครัวของเขานั้นรักในเสียงดนตรีอย่างมาก Stewart ในวัยรุ่นเข้าโรงเรียนเตรียมแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นเขาได้ร่วมกิจกรรมนาๆต่างๆ อาทิ กีฬาฟุตบอล, ทำหนังสือรุ่น, ชมรมร้องประสานเสียง และชมรมวรรณกรรม ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเขามักเดินทางกลับบ้านเพื่อไปรับจ้างเป็นพนักงานก่อสร้างหรือไปเขียนเส้นแบ่งเลนรถ และยิ่งไปกว่านั้น..ฤดูร้อนต่อมา เขาไปเป็นผู้ช่วยให้กับนักมายากลมืออาชีพอีกด้วย 

พื้นฐานของเขาเป็นคนขี้อายเลยมักชอบเก็บตัวอยู่ชั้นใต้ดินเพื่อทำกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ อาทิ ทำโมเดลเครื่องบิน, เขียนแปลนออกแบบเชิงกล (mechanical drawing), ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนักบิน Charles Lindbergh  ผู้ออกแบบเครื่องบินและออกบินเดี่ยวข้ามทวีปสร้างสถิติสุดตะลึงในปี 1927 เหตุการ์ณครั้นนั้นทำให้เขาอยากจะออกบินสู่ท้องฟ้าบ้าง ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกหรืออะไรเพราะในอีกสามทศวรรษผ่านไป เขาก็ได้เล่นหนัง The Spirit of St.Louis (1957) ซึ่งสวมบทเป็น Charles Lindbergh ฮีโร่ในวัยเยาว์ของเขา

Stewart เข้ามหาลัยที่ Princeton University คณะสถาปัตยกรรม ในปี 1928 โดยละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักบินเนื่องจากพ่อไม่สนับสนุน ถึงกระนั้นผลการเรียนของเขานั้นถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมอย่างมาก โดยงานจบของเขาคือการดีไซน์สนามบินนั้น เป็นที่ประทับใจแก่อาจารย์อย่างมากจนได้รับทุนการศึกษาเป็นรางวัล อย่างไรเสียเขากลับหันไปสนใจงานด้านแสดงมากกว่าโดยเขาได้เข้าร่วมชมรมการแสดงของมหาลัย และทำได้ดีมากซะด้วยจนไปเตะตาบริษัท University Players เข้าเลยชักชวนเข้าไปร่วมแก๊งค์ 

เข้าสู่วงการ’การเป็นนักแสดง’

ณ กลุ่มแห่งนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนสนิทในอนาคต Henry Fonda และ Margaret Sullavan ภรรยาที่กำลังจะเลิกราของ Fonda แถมพอจัดการเรื่องหย่าร้างเสร็จ Stewart ก็เลยได้แชร์ห้องอพาร์มเม้นร่วมกับ Fonda ต่อมาทั้งกลุ่มเดินทางเข้า New York เพื่ออาชีพละครเวที ชีวิตแรกๆในการแสดงละครเวทีของเขานั้นไปได้ระดับปานกลางและไม่ได้สวยอย่างที่ตั้งใจไว้ และก็มีแต่แย่ลงเรื่อยๆเมื่อบอร์ดเวย์ทั้งหลายถูกเปลี่ยนเป็น movie houses งานก็ยิ่งหดลงไปเรื่อยๆ โชคยังดีที่ในขณะนั้นเขายังได้เล่นบทบาทเด่นๆสำคัญๆจากหลายเรื่องอยู่บ้าง ซึ่งมันก็คือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เขายังเลือกที่จะหากินกับอาชีพนักแสดง 

ต่อมา Fonda ที่ยังเป็นรูมเมทก็ได้เข้าฮอลลิวู้ดเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากวาดลวดลายการแสดงเรื่อง The Farmer Takes a Wife (1934) ต่อมาไม่นาน Stewart ก็ฉายแสงเตะตาแมวมองของ MGM จากงานพรีเมียร์ที่มีคนดังหลายคนมาร่วมงาน นั่นรวมถึงตัว Fonda เองด้วย แถมตัว Fonda เองก็ยังช่วยผลักดัน Stewart ให้ไปลองทำสกรีนเทสดู สรุปคือเขาได้เซ็นสัญญากับ MGM ในเดือนเมษายน 1935 เป็นเวลาเจ็ดปี โดยมีรายได้ $350 ต่ออาทิตย์

หลังจากเดินทางเข้า Los Angeles งานชิ้นแรกของเขาคือการทำสกรีนเทสร่วมกับเหล่าดาราหน้าใหม่ เขาแสดงหนังเรื่องแรก The Murder Man (1935) ร่วมกับ Spencer Tracy แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่พอมาเรื่องที่สอง Rose Marie (1936) ก็มีแนวโน้มว่าจะไปในทางที่ดีขึ้น ต่อมาในปีเดียวกันเขาได้เล่นหนังที่ได้รับบทที่แสดงออกทางอารมณ์มากขึ้น เช่น After the Thin Man และ Wife vs. Secretary ซึ่งในเรื่องนี้ เขารับบทเป็นแฟนหนุ่มจอมท้อแท้ของ Helen Wilson รับบทโดย Jean Harlow ร่วมกับ Clark Gable และ Myrna Loy

ความสามารถของ Stewart เริ่มเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้พบกับ Margaret Sullavan อีกครั้ง เธอได้โปรโมทเขาในฐานะนักแสดงนำคู่กับเธอจากเรื่อง Next Time We Love เธอหวังจะสร้างความมั่นใจให้กับเขาโดยแนะนำให้เขาเป็นตัวของตัวเองในลักษณะนี้ที่แบบไม่เหมือนใคร รักษาเสน่ห์แบบเด็กๆ และเป็นธรรมชาติเอาไว้ล่ะดีที่สุดแล้ว  ณ ช่วงเวลาตอนนั้น Stewart มีความสุขมากๆ ขนาดทำงานถึง 6 วันให้กับต้นสังกัดก็ยังแฮปปี้ดีอยู่  และเขาเองก็ได้รับคำแนะนำจาก Leland Hayward ผู้ซึ่งเป็นสามีของ Sullavan ให้ลองไปร่วมงานกับสตูดิโออื่นดูด้วย โดยไปแบบยืมตัว 

ย่างเข้าในปี 1938 Stewart เริ่มสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยได้ร่วมงานกับผู้กำกับมือทอง Frank Capra จากการถูกยืมตัวไปแสดงให้กับค่าย Columbia Pictures ในเรื่อง You Can’t Take It With You และภายหลังก็ร่วมงานกันต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งแต่เดิมที Capra นั้นประทับใจในการแสดงบทบาทสบทบของ Stewart จากเรื่อง Navy Blue and Gold (1937) เขามองเห็นว่า Stewart นั้นเหมาะสมกับบทบาทนี้มากกว่าดารานำชายชื่อดังที่เขาเคยร่วมงานด้วย แถมตัวนักแสดงผู้นี้เข้าใจบทบาทที่ได้รับเป็นอย่างดี โดยไม่ต้องกำกับมากนัก Capra ถึงกลับเคยพูดไว้ว่า Stewart นั้นเป็นนักแสดงชายที่เจ๋งมากๆ ที่เคยมีมาเลย แต่กระนั้นคุณพ่อของดาราชายผู้นี้ก็พยายามกล่อมให้เขาลาออกจากวงการ…กลับมาบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตแบบสมถะ Stewart เลยแอบไปเที่ยวยุโรปก่อนแวบกลับบ้านไปพักเบรคช่วงหนึ่งในปี 1939 

ต่อมาเขาหันมาเล่นหนังคาวบอยบ้างในภาพยนตร์เรื่อง Destry Rides Again (1939) ร่วมกับ Marlene Dietrich (ทั้งสองก็กิ๊กกั๊กกันนอกจอจริงๆ แต่ก็เป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆเท่านั้น) ต่อมาเขาได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายจาก The Philadelphia Story (1940) โดยที่เบียดชนะเพื่อนสนิทอย่าง Henry Fonda จากเรื่อง The Grapes of Wrath ไป เขามอบรางวัลนี้ให้แก่พ่อเขานำไปประดับในตู้โชว์หน้าร้านกิจการของครอบครัว

เข้าร่วมสงครามและกลับเข้าสู่ Hollywood 

ต่อมา Stewart ตัดสินใจออกไปรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่สอง อันเนื่องมาจากครอบครัวของเขาทั้งสองฝ่ายนั้นมีเลือดทหารอยู่เต็มเปี่ยมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทั้งปู่และตาต่างก็เข้าร่วมรบสงครามกลางเมือง ส่วนพ่อก็เข้าร่วมรบในสงครามสเปนนิชและอเมริกันยันสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Stewart เข้าร่วมสงครามในฐานะทหารอากาศ ไม่ใช่ทหารราบเหมือนสมาชิกในครอบครัว แต่เดิมทีเขาเข้ารับการเกณฑ์ทหารแต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย เนื่องจากน้ำหนักน้อยเกินไป 5 ปอนด์ ดังนั้นเขาจึงเรียกบริการเทรนเนอร์จากค่าย MGM มาช่วยเพิ่มน้ำหนักซะเลย แต่กระนั้นพอทดสอบอีกรอบก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี Stewart ลองกล่อมเจ้าพนักงานขอลองเข้าตรวจร่างกายอีกรอบหน่อย และโชคดีที่ผ่านการทดสอบ และนี่กลายเป็นว่าเขาเป็นนักแสดงภาพยนตร์คนแรกของอเมริกันที่ได้ใส่ชุดทหารอีกด้วย

หลังจากจบสงคราม Stewart หวนกลับเข้าสู่  Hollywood ในฤดูใบไม้ร่วง 1945 เขาไม่ต่อสัญญากับ MGM แล้ว แต่ไปเซ็นต์ให้กับ MCA talent agency แทน หนังเรื่องแรกหลังจากสงครามคือ It’s a Wonderful Life (1946) ของ Frank Capra ร่วมแสดงกับ Donna Reed และตัวของ Stewart เองเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ Michael Parkinson ในปี 1973 ไว้ว่าในบรรดาหนังที่เขาเคยแสดงมาทั้งหมดนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องโปรดของเขาเลย ถึงแม้ว่าหนังจะประสบความสำเร็จได้ด้วยดี แต่ Stewart เองก็เกิดความกังวลนี้ขึ้นในใจว่าเขาจะยังมีความสามารถพอหรือไม่ในการแสดงหนังหลังจากรับใช้ชาติ เพราะว่าก็มีนักแสดงรุ่นเดียวกันเริ่มหายหน้าหายตาไปหลายคน แล้วก็ยังมีดาราหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆ เช่น Marlon BrandoMontgomery Clift หรือ James Dean

อย่างไรเสียเขาได้แสดงหนังอยู่หลายเรื่อง ระหว่างนั้นเขากลับมาเล่นละครเวทีในเรื่อง Harvey ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก มีการแสดงโชว์ถึงสามปีทีเดียว จนกลายมาเป็นภาพยนตร์ที่เราคุ้นตากันดีในปี 1950 ซึ่งจริงๆแล้วทีมงานได้วางตัว Bing Crosby ไว้แต่เขาปฏิเสธบทนี้ไป และในอีกสองทศวรรษให้หลัง Stewart ก็กลับมารับบทเดิมอีกแต่เป็นละครบรอร์ดเวย์ ซึ่งมีการบันทึกเทปเอาไว้ด้วย

เข้าสู่ยุค 1950’s งานแสดงของ Stewart เริ่มเปลี่ยนไปโดยเขาหันมาเล่นหนังแนวคาวบอย-ตะวันตก โดยได้ผู้กำกับคู่บุญ Anthony Mann เริ่มจาก Winchester ’73 (1950) ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ด้วย นอกจากนี้ Stewart ไม่ได้รับค่าตัวจากการแสดงเรื่องนี้ แต่ได้เป็นเงินจากเปอร์เซ็นต์กำไรของหนังแทน ซึ่งเขาคว้ามาได้ถึง $600,000 ซึ่งแต่เดิมทีนั้นทางค่าย Universal Studios ต้องการให้ Stewart รับเล่นทั้ง Winchester ’73 และ Harvey แต่ก็ลังเลที่จะจ่ายค่าตัวจำนวน $200,000 ให้กับเขา เอเยนต์ของเขาเลยต่อรองเป็นการไม่รับค่าตัว แต่ขอรายได้จากเปอร์เซ็นต์กำไรแทน และนั่นเป็นแนวทางใหม่แก่ดาราคนอื่นที่จะต่อรองทำธุรกิจ และการต่อรองแบบนี้เป็นการทำลายระบบสตูดิโอลงในภายหลัง

บทบาทที่เขามักได้รับในหนังคาวบอย อาทิ  Bend of the River (1952)The Naked Spur (1953)The Far Country (1954) หรือ The Man from Laramie (1955) มักจะเป็นบทประเภท คาวบอยที่เจอปัญหาไม่ว่าจะเป็นการเจอกับเหล่าผู้ร้ายที่ยึดครองเมือง หรือตัวร้ายนอกรีต เขาต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ซึ่งหนังเหล่านี้ขโมยใจเหล่าคนดูไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไปแล้ว กลายเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง ซึ่งลักษณะการแสดงหรือบุคคลิกของเขาที่เปลี่ยนไปจากยุคก่อนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ น่าค้นหาและดูใจร้อนมากขึ้น 

นอกจากหนังแนวตะวันตกแล้ว เขายังได้หันมาเล่นหนังแนวระทึกขวัญของ Alfred Hitchcock อีกด้วย เริ่มจาก Rope (1948) ที่ถ่ายเป็น Long Shots, มาด้วยหนังในตำนานอย่าง Rear Window (1954) ซึ่งทั้งเรื่อง..เขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ดังนั้นการแสดงของเขาจึงออกมาได้แค่ใบหน้าและท่อนบนเท่านั้น กลายเป็นว่าเขาได้โชว์ความสามารถในการแสดงออกมาได้เด่นชัดมากขึ้นไปอีก แถมในปีนั้นเขายังเป็นนักแสดงที่โกยรายได้มากที่สุดและมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด…แทนที่ John Wayne เลยก็ว่าได้

ต่อมาเป็นเรื่อง The Man Who Knew Too Much (1956) และ Vertigo (1958) ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิคไปแล้วสำหรับตอนนี้ อย่างไรก็ตามในยุคนั้นหนังกลับไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนปะจจุบัน แถมรายได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร และเป็นการร่วมงานครั้งสุดท้านระหว่างเขากับ Hitchcock แถมยังมีรายงานว่า Hitchcock โทษตัวหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องมาจาก Stewart ดูแก่เกินไปที่จะเป็นคนรักของนางเอก ซึ่งรับบทโดย Kim Novak อีกทั้งตัวผู้กำกับกับเองก็ผิดสัญญาที่เคยบอกว่าจะให้ Stewart มารับบท Roger Thornhill ใน North by Northwest (1959) หนังเรื่องต่อไปของ Hitchcock และตัวเขาเองก็อยากเล่นบทนี้เอามากๆ แต่ Cary Grant กับเป็นผู้ถูกเลือกแทน ทั้งๆที่ Grant เองก็มีอายุมากกว่าเขาตั้งสี่ปี หรืออาจะเป็นเพราะตัว Grant เองมีลุคที่ดูอ่อนกว่าเขาหรือเปล่า ภายในปีเดียวกันกับที่ North by Northwest ได้ออกฉายและประสบความสำเร็จ Stewart ก็มารับเล่นหนัง Anatomy of a Murder (1959) ซึ่งประสบความสำเร็จเช่นกัน และเขาก็ได้เข้าชิงออสการ์ดารานำชายเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ชวดรางวัลนี้ไป ซึ่งตกไปเป็นของ Charlton Heston จาก Ben-Hur

ในช่วง 1960’s Stewart ได้ร่วมงานกับผู้กำกับหนังคาวบอยในตำนานอย่าง John Ford ถึงสามเรื่องอาทิ Two Rode Together (1961), The Man Who Shot Liberty Valance (1962) ซึ่งเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างเขากับ John Wayne เป็นหนังแนวคาวบอยจิตวิทยา โดยถ่ายทำฟิลม์ขาวดำในฉบับฟิล์มนัวร์ Stewart ได้รับค่าตัวมากกว่า Wayne และชื่อเขายังได้ขึ้นก่อน Wayne ในโปสเตอร์โปรโมทอีกด้วย ซึ่งผิดแปลกจากปกติ เพราะบทเด่นเรื่องนี้คือ Wayne ดังนั้นตอนหนังออกฉาย Ford แจ้งให้สตูดิโอช่วยเอาชื่อ Wayne ขึ้นก่อน Stewart ในฉากไตเติ้ล ต่อมา How the West Was Won (1962) มีเครดิตว่า Ford กำกับแต่เป็นแค่การกำกับร่วม เขาไม่ได้ทำงานร่วมกับ Stewart แต่อย่างใด หนังเรื่องสุดท้ายที่ร่วมกับ Ford คือ Cheyenne Autumn (1964) ซึ่งเป็นการถ่ายทำหนังเป็นที่ค่อนข้างยุ่งยากมาก เพราะว่าถ่ายถึงสามกล้องและฉายบนจอภาพยนตร์สามจอในครั้นเดียวกัน

ด้วยสายเลือดนักบิน Stewart เองก็เล่นหนังเกี่ยวกับการบินเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงปี 1950-60’s อาทิ  No Highway in the Sky (1951), Strategic Air Command (1955), The Spirit of St. Louis (1957), หรือ The Flight of the Phoenix (1965). แถม Stewart ก็แต่งบทหนังเรื่อง X-15 ในปี 1961 แต่ไม่ได้รับเครดิต อีกสามปีต่อมาเขากับเพื่อนๆนักบิน ยังก่อตั้งบริษัทการบินนามว่า Executive Jet Aviation Corporation อีกด้วย นอกจากนี้แล้วเขายังเปลี่ยนแนวมารับเล่นหนังแนวครอบครัวด้วย หลังจากเซ็นต์สัญญาให้กับค่าย 20th Century Fox อาทิ Mr. Hobbs Takes a Vacation (1962), Take Her, She’s Mine (1963) และ Dear Brigitte (1965)

พอเข้าช่วงปี 1970’s Stewart เริ่มพักงานภาพยนตร์และมุ่งหน้าสู่หน้าจอทีวีแทน โดยเขาได้เล่นให้กับ NBC แนวคอมเมอร์ดี้ The Jimmy Stewart ShowCBS แนวลึกลับ Hawkins, ซึ่งบทบาทคล้ายๆกับ Anatomy of a Murder ซึ่ง Stewart ได้รับรางวัล Golden Globe นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากทีวีซีรีย์ดราม่า แต่กระนั้นหนังก็ไม่ได้เป็นที่นิยมกันกว้างขวาง นอกจากนี้เขายังไปออกรายการของ Johnny Carson จากรายการ The Tonight Show ซึ่งเขาก็ได้มาแชร์บทกลอนที่เขาแต่งขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต และภายหลังกลอนของเขาถูกรวบรวมเป็นคอลเลคชั่นส์หนังสือ Jimmy Stewart and His Poems’ ในปี 1989

Stewart กลับมาเล่นหนังอีกครั้งหลังจากห่างหายจากวงการไปห้าปี โดยเริ่มจากรับบทรอง ร่วมกับ John Wayne ในเรื่อง The Shootist (1976) ซึ่งเป็นหนังสุดท้ายของดาราตำนานหนังคาวบอย หนังอื่นๆของ Stewart ในบทสมทบอาทิ Airport ’77 (1977), The Big Sleep (1978) ในเวอร์ชั่นรีเมคใหม่และ The Magic of Lassie (1978) หนังทั้งสามเรื่องได้รับคำวิจารณ์ในทางลบและยิ่งเรื่องหลังสุดนี่ไม่ประสบความเร็จตั้งแต่ออกฉายแล้ว

ช่วงปี 1980s ถึง ’90s Stewart ก็มีงานพากย์โฆษณาให้กับ Campbell’s Soups ด้วย และในปี 1991 เขาพากย์เสียงตัวละคร นายอำเภอ Wylie Burp จากภาพยนตร์เรื่อง An American Tail: Fievel Goes West และเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเขา 

ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเพื่อนสนิทของ Stewart ก็คือ Henry Fonda ทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยแห่งยุคนั้น และลูกๆของทั้งสองฝ่ายออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพ่อๆของเขาชอบใช้เวลาว่างด้วยกันในการทำโมเดลเครื่องบิน ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่พวกเขาเคยทำร่วมกันสมัยแต่ก่อนที่ยังอยู่นิวยอร์ค ทั้งสองมีมุมมองทางการเมืองที่ต่างกัน แต่เลือกที่จะไม่สนทนาหัวข้อนี้จะได้ไม่เกิดปัญหาผิดใจกัน

Stewart เคยคบหากับนักแสดงสาวชื่อดังหลายคน อาทิ Ginger Rogers, Marlene DietrichLoretta Young, หรือ Olivia de Havilland ที่ควงกันอยู่นานสองนานจนเกือบจะแต่งงานกันแล้ว แต่สุดท้ายก็มาลงเอยที่ Gloria Hatrick McLean อดีตนางแบบ พวกเขาลั่นระฆังวิวาห์ในปี 1949 อยู่กินเป็นสามีภรรยายาวนานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอในปี 1994 เขารับลูกชายสองคนของ Gloria เป็นบุตรบุญธรรม และมีลูกที่เกิดกับเขาเองเป็นลูกแฝดสาวในอีกสองปีถัดมา

Stewart ลาจากโลกนี้ไปด้วยวัย 89 ปีในปี 1997 ที่บ้านของเขาเองที่ Beverly Hills  ก่อนหมดลมหายใจสุดท้ายเขาได้กล่าวไว้ว่า “ผมกำลังจะไปอยู่กับ Gloria แล้ว” ตลอดชีวิตการทำงานของเขา Stewart ได้เข้าชิงออสการ์จำนวน 5 ครั้ง แต่ชนะมาเพียงแค่ครั้งเดียวจากเรื่อง The Philadelphia Story (1940) และอีก 45 ปีต่อมาได้รับรางวัลเกียรติยศความสำเร็จในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จากออสการ์ (1985) AFI หรือ The American Film Institute จัดอันดับให้เขาเป็นดาราชายคลาสสิคยุคทองฮอลลิวู้ด อันดับที่ 3

20_James-Stewart


line4

.

YOU CAN’T TAKE IT WITH YOU (1938)

Directed By: Frank Capra
you-cant-take-it-poster

IMDB: 8
Rotten Tomatoes: 91%

Theme : Comedy, Drama, Romance
.
line3

.

เมื่อเลขาสาวผู้อ่อนโยน Alice Sycamore (Jean Arthur) ตกหลุมรักกับเจ้านายของเธอผู้เป็นลูกชายตระกูลใหญ่ร่ำรวย Tony Kirby (James Stewart) Alice พาเขามาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักซึ่งตระกูลของทั้งสองนั้นมีมุมมองปรัชญาและการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บ้านของฝ่ายชายนั้นเป็นแนวคลั่งเงินและภูมิใจในความยิ่งใหญ่ผิดกับบ้านของอีกฝ่ายที่เน้นในการทำความดี และคนในครอบครัวของเธอนั้นดูออกจะเป็นคนเพี้ยนๆ ทั้งตัวของ Alice และ Tony ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน


หมายเหตุ : ตัวหนังได้เข้าชิงออสการ์ 7 รางวัล และชนะมา 2 จากสาขาหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ดีที่สุดในปีนั้นด้วย
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

DESTRY RIDES AGAIN (1939)

Directed By: George Marshall

19379

IMDB: 7.7
Rotten Tomatoes: 100%

Theme : Comedy, Western
.
line3

.

นายอำเภอ แห่งเมืองเล็กแห่งหนึ่งใน Bottleneck ถูกสังหารโดย Kent (Brian Donlevy) ผู้ที่กระหายในอำนาจ เขาครอบครองหลากหลายฟาร์มปศุสัตว์ในท้องถิ่นจากการชนะเกมไพ่ Dimsdale (Charles Winninger) คือนายอำเภอผู้ที่มาประจำใหม่ เขาหวังจะชักชวน Tom Destry มาร่วมกันปราบคนเลว แต่กระนั้นเขาส่งลูกชาย Tom Destry Jr. (James Stewart) มาแทน

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

MR. SMITH GOES TO WASHINGTON (1939)

Directed By: Frank Capra

mr-smith

IMDB: 7.7
Rotten Tomatoes: 83%

Theme : Comedy, Romance
.

line3

.

เมื่อชายหนุ่ม Jefferson Smith (James Stewart) ผู้เต็มไปด้วยอุดมการณ์และโปร่งใส ได้เข้ามานั่งในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่กำลังว่างอยู่ เขาได้รับการสั่งสอนอบรมจากส.ว. รุ่นใหญ่ Joseph Paine (Claude Rains) แต่กระนั้น Paine ก็ไม่ได้ดีเลิศสง่างามเหมือนชื่อเสียงของเขาและเขาก็จ้องที่จะทำลายเครดิตของ Smith ส่วนด้านของหนุ่ม Smith เองนั้นก็ยืนหยัดและพร้อมที่จะสู้กับ Paine จอมขี้โก


หมายเหตุ : ประสบความสำเร็จใน box office อีกทั้งยังเป็นหนังที่สร้างชื่อให้กับ James Stewart
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

THE PHILADEPHIA STORY (1940)

Directed By: George Cukor

poster20-20philadelphia20story20the_02

IMDB: 8
Rotten Tomatoes: 100%

Theme : Comedy, Romance
.
line3

.

Tracy Lord (Katherine Hepburn) สาวสังคมชั้นสูงกำลังจะแต่งงานใหม่กับ George Kittredge (John Howard) แต่สามีเก่าตัวแสบที่ติดเหล้าของหล่อน C.K. Dexter Haven (Cary Grant) หวังจะมาแกล้งเธอเล่นในช่วงงานแต่ง โดยร่วมมือกับ บ ก ของหนังสือ Spy Magazine ซึ่งส่งคอลัมนิสต์ Mike Connor (James Stewart) มาทำข่าวแบบใกล้ชิด ระหว่างช่วงจัดงาน Tracy สับสนว่าตัวเองรักใครกันแน่ในบรรดาหนุ่มสามคน อันนำไปสู่การค้นพบความต้องการของตัวเอง
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

THE SHOP AROUND THE CORNER (1940)

Directed By: Ernst Lubitsch

45a

IMDB: 8.1
Rotten Tomatoes: 100%

Theme : Comedy, Drama, Romance
.

line3

.

เรื่องราวของพนักงานหนุ่มสาว ณ ร้านขายของแห่งหนึ่งในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี Alfred Kralik (James Stewart) และ Klara Novak (Margaret Sullavan) ซึ่งทั้งสองเป็นคู่สุดขั้วไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ และทั้งคู่ต่างก็หลงรักเพื่อนทางจดหมายเหมือนกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าต่างฝ่ายต่างเป็นเพื่อนทางจดหมายนั่นแหละ

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

IT’S A WONDERFUL LIFE (1946)

Directed By: Frank Capra 

itsawonderfullife-email

IMDB: 8.6
Rotten Tomatoes: 94%

Theme :  DramaFamilyFantasy
.

line3

.

เมื่อ George Bailey (James Stewart) ผู้เผชิญปัญหาร้อยแปดที่แก้ไม่ตก เขาจึงเฝ้าโทษตัวเองและคิดว่าเขาไม่สมควรเกิดมาซะเลย จู่ๆก็มีเทวดา (Henry Travers) ปรากฏตัวขึ้นและมาทำให้พรของเขาสมความปราถนา ระหว่างนั้น George เลยเริ่มเรียนรู้ว่าการไม่มีเขาอยู่บนโลกสร้างผลกระทบให้คนรอบไปหมด
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

ROPE (1948)

Directed By: Alfred Hitchcock

rope

IMDB: 8
Rotten Tomatoes: 97%

Theme : Crime, Drama, Thriller
.

line3

.

เมื่อสองคู่รักชาย Philip Morgan (Farley Granger) และ Brandon Shaw (John Dall) เกิดความคิดวิปริตจากวิถีแนวคิดของนักปรัชญาโดยการใช้เชือกฆ่ารัดคอเพื่อนของพวกเขาและซ่อนศพเอาไว้ในหีบก่อนที่จะจัดปาร์ตี้อาหารเย็น และเชิญบรรดาแขกๆมา ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือศาสตราจารย์ Rupert Cadell (James Stewart) ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจการฆาตกรรมของพวกเขา


หมายเหตุ : ถ่ายแบบ Long Take เน้นตัดภาพให้น้อยที่สุด โดยเปลี่ยนม้วนฟิลม์เพียงแค่ 8 – 10 ครั้ง รวมถึงเทคนิคการเคลื่อนกล้องอย่างชาญฉลาด เพื่อตัดทอนลดความน่าเบื่อและจำกัดพื้นที่


.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

HARVEY (1950)

Directed By: Henry Koster

img_0352

IMDB: 8
Rotten Tomatoes: 84%

Theme : Comedy, Drama, Fantasy
.

line3

.

Elwood P. Dowd (James Stewart) ชายหนุ่มผู้แสนอบอุ่นวัย 40 ต้นๆ ฐานะร่ำรวยติดดินที่วันๆ เอาแต่กินเหล้าในบาร์ร้านประจำ เขามีเพื่อนล่องหน หรืออาจจะถูกมองว่าเป็นเพื่อนในจินตนการของเขา ซึ่งเป็นกระต่ายขาวยักษ์สูงถึง 6 ฟุตว่าๆ นามว่า ‘Harvey’

Elwood นั้นอาศัยอยู่กับพี่สาว Veta (Josephine Hull) และลูกสาวของเธอ Myrtle Mae (Victoria Horne) ทั้งสองสาวนั้นแทบจะไม่มีเพื่อนและสังคมเลยเพราะทุกคนต่างหวาดกลัวเวลา Elwood พยายามจะแนะนำเพื่อนล่องหนให้รู้จัก และยิ่งแย่ไปกว่านั้น Veta อยากให้ลูกสาวเธอแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแต่กลับไม่มีใครกล้าคบหากับพวกหล่อน เธอคิดว่าน้องชายของเธอต้องเป็นบ้าแน่ๆ เลยคิดจะส่ง Elwood ไปสถานบำบัดจิต 
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

WINCHESTER ’73 (1950)

Directed By: Anthony Mann
winchester207320poster202

IMDB: 7.7
Rotten Tomatoes: 100%

Theme :  Action, Drama, Western
.

line3

.

Lin McAdam (James Stewart) ตามล่า Henry “Dutch” Brown (Millard Mitchell) ตัวร้ายชื่อฉาวโฉ่ไปจนถึง Dodge City, Kansas. เพื่อที่จะกำจัดศัตรู เขาเข้าร่วมการแข่งขันยิงปืนเพื่อชิงปืนไรเฟิล Winchester.  ด้าน Brown เองก็ต้องการปืนเช่นกันเลยขโมยปืนไรเฟิลนี้จากห้องของ McAdam และเมื่อเจ้าตัวรู้ว่าอาวุธสังหารนี้โดนขโมยไป เขาจึงตามล่า Brown ไปสุดหล้าเพื่อชิงมันกลับมา
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

THE NAKED SPUR (1953)

Directed By: Anthony Mann

the-naked-spur

IMDB: 7.4
Rotten Tomatoes: 100%

Theme : ThrillerWestern
.

line3

.

Howard Kemp (James Stewart) ได้ตามล่าแกะรอยนักฆ่า Ben Vandergroat (Robert Ryan) มายาวนาน โดยเขาร่วมมือกับ Jesse Tate (Millard Mitchell) คนสำรวจแร่ และ Roy Anderson (Ralph Meeker) อดีตทหาร เนื่องจากทั้งสองคิดว่า Kemp เป็นนายอำเภอจึงตอบตกลงแลกกับเงินเล็กๆน้อยๆ  และเมื่อพวกเขาสามารถจับ Vandergroat ได้แล้ว ก็ทราบว่าผู้ร้ายคนนี้มีค่าหัวถึง $5,000 และพวกเขาทั้งสามตกลงแบ่งเงินจำนวนเท่าๆกัน แต่ระหว่างกลับนั้นก็โดน Vandergroat ยุแยงให้ระวังกันเอง 
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

REAR WINDOW (1954)

Directed By: Alfred Hitchcock

rear-window_poster_goldposter_com_32

IMDB: 8.5
Rotten Tomatoes: 100%

Theme : Mystery, Thriller
.

line3

.

ช่างภาพ L.B. “Jeff” Jefferies (James Stewart) ได้รับอุบัติเหตุเข้าเฝือกขาจนต้องนั่งอยู่แต่บนรถเข็นและไม่สามารถออกนอกห้องได้ เขาชอบใช้กล้องส่องทางไกลแอบดูพฤติกรรมของผู้คนในอพาร์ทเม้นฝั่งตรงกันข้ามเพื่อฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ทุกๆวัน แต่วันหนึ่งได้บังเอิญพบเห็นเพื่อนบ้านที่อาจจะลงมือฆาตกรรมภรรยาพิการ เขาสงสัยใคร่รู้จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แฟนสาว Lisa Fremont (Grace Kelly) และพยาบาลผู้ดูแลเขา Stella (Thelma Ritter) ฟัง และแล้วทั้งสามวางแผนเพื่อจะสืบหาความจริง
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

THE MAN WHO KNEW TOO MUCH (1956)

Directed By: Alfred Hitchcock

1955-the-man-who-knew-too-much

IMDB: 7.5
Rotten Tomatoes: 91%

Theme : Drama, Thriller
.
line3

.

Dr. Ben McKenna (James Stewart), Josephine (Doris Day) ภรรยา, และ Hank ลูกชายจอมซน กำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนท่องเที่ยว ณ ประเทศ Morocco พวกเขาได้รู้จักกับชายแปลกหน้าที่ดูมีลับลมคมใน และจู่ๆชายผู้นี้ก็โดนฆ่าตายต่อหน้าต่อตาของครอบครัว McKenna ก่อนสิ้นชีพเขาได้เผยถึงแผนการลอบสังหารบุคคลสำคัญแก่คุณหมอ Ben เรื่องราวเลยเถิดใหญ่โตไปกันใหญ่เมื่อพวกเขาค้นพบว่า Hank โดนลักพาตัวไปด้วย เนื่องจากเขาไปล่วงรู้ถึงแผนการลับครั้งนี้

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

VERTIGO (1958)

Directed By: Alfred Hitchcock

vertigo-poster

IMDB: 8.4
Rotten Tomatoes: 95%

Theme :  MysteryRomanceThriller
.

line3

.

เรื่องราวของ John ‘Scottie’ Ferguson (James Stewart) หนุ่มใหญ่ผู้หันหลังให้กับอาชีพตำรวจเนื่องจากเป็นโรคกลัวความสูง ได้ตกหลุมรัก Madeleine Elster (Kim Novak) ภรรยาสาวของเพื่อนผู้ซึ่งว่าจ้างเขาให้สะกดรอยตามเธอที่อาจจะคิดฆ่าตัวตาย แต่แล้วเขาก็ทำพลาดเมื่อปล่อยให้เธอกระโดดลงมาตายจากหอคอย โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขากลายเป็นคนซึมเศร้าและจมอยู่กับความทุกข์ทรมานไม่จบไม่สิ้น แต่แล้ว Scottie ก็ได้มีโอกาสแก้ตัวเมื่อเขาได้บังเอิญเจอสาวที่มีใบหน้าคล้ายกับ Madeleine สาวคนรักผู้ล่วงลับ เขากลับเข้ามาสู่ห้วงเหวแห่งความลุ่มหลง เพื่อลบล้างอดีตที่เจ็บปวด

.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

ANATOMY OF A MURDER (1959)

Directed By: Otto Preminger

MPW-69349

IMDB: 8.1
Rotten Tomatoes: 100%

Theme :  Drama, Comedy, Romance
.

line3

.

Paul Biegler (James Stewart) ทนายกึ่งเกษียณ รับว่าคดีความให้กับ Lt. Frederick Manion (Ben Gazzara) ผู้ต้องหาฆาตกรรม Barney Quill เจ้าของบาร์หลังจากทราบว่าภรรยาของเขา (Lee Remick) อ้างว่าชายผู้นั้นข่มขืน แต่พอตำรวจตรวจร่างกายเธอกลับไม่มีหลักฐานว่าเธอโดนข่มขืนเลย หลังจากไปสัมภาษณ์ไปมาจึงค้นพบว่าตัวผู้ต้องหานั้นมีอารมณ์ร้ายและหึงหวงภรรยาที่ชอบโปรยสเน่ห์ใส่ชายอื่น ในเมื่อมีแต่หลักฐานมัดตัวเขา Biegler จึงพยายามหาทางช่วย Manion ให้หลุดพ้นข้อหา
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

THE MAN WHO SHOT LIBERTY VALANCE (1962)

Directed By: John Ford

poster20-20man20who20shot20liberty20valance20the_02

IMDB: 8.1
Rotten Tomatoes: 93%

Theme : Drama, Western.

line3

.

มีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ Stoddard (James Stewart) ผู้เป็นสมาชิกวุฒิสภา เดินทางมายังเมืองเล็กๆ เพื่อมาร่วมงานศพของ Tom Doniphon (John Wayne) ผู้เป็นแค่ชายธรรมดาคนหนึ่ง หนังเล่าเรื่องกลับไปว่าชายผู้นี้นี่แหละที่เป็นคนช่วยชีวิต Stoddard ผู้ที่ขณะนั้นเป็นเพียงแค่ทนายความ และเขาเข้าไปพัวพันกับกลุ่มนักเลงอาชญกรนำโดย Liberty Valance (Lee Marvin) ที่เข้ายึดครองสร้างความวุ่นวายให้กับเมือง ไม่มีใครกล้ายืนฝั่งตรงข้าม Valance เห็นก็จะมีเพียงแต่บุรุษทั้งสอง Doniphon และ Stoddard ที่กล้าเผชิญกับเขาและพร้อมที่จะนำความสงบสุขมาสู่เมือง
.

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

.

.